วันจันทร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ปราบโจรใต้ต้องเด็ดขาด


  

           โจรใต้เหิมเกริมขึ้นเรื่อย ตลอดหลายปีที่ผ่านมา มีผู้เสียชีวิตไปแล้ว 5,469 ราย และบาดเจ็บอีก 9,653 ราย {1} รัฐบาลใช้เงินแก้ปัญหาไปถึง 145,000 ล้านบาท ณ ปี 2554 {2} เมื่อถึงสิ้นปี 2555 อาจใช้เงินถึง 200,000 ล้านบาท จะแก้ปัญหาโจรใต้อย่างไรดี

          ปัญหาโจรใต้มองได้ในหลายแง่มุม บ้างก็ว่าเป็นปัญหาเชื้อชาติและศาสนา แต่ในประวัติศาสตร์พื้นที่นี้ก็ไม่มีใครผูกขาด เปลี่ยนคนเปลี่ยนศาสนามาหลายครั้งแล้ว ประเทศไทยก็ไม่มีปัญหารุนแรงทางเชื้อชาติ ศาสนาเช่นที่เกิดขึ้นในมาเลเซียหรืออินโดนีเซียที่กดขี่ เข่นฆ่าและขูดรีดคนจีนและคนฮินดู นอกจากนี้หลายคนยังตั้งข้อสังเกตว่าปัญหานี้แก้ไม่ตกก็เพราะการ “เลี้ยงไข้” คือพยายามให้ปัญหาคงอยู่นานๆ เพื่อกอบโกยงบประมาณแผ่นดินเข้าตัว ฯลฯ

          แต่เศรษฐกิจก็เป็นแง่มุมหนึ่งที่พึงพิจารณา มาเลเซียมีรายได้ประชาชาติต่อหัวสูงกว่าไทยถึงเกือบเท่าตัว ในสมัยที่ไทยมีฐานะดีกว่า ตนกู อับดุล ระห์มัน อดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ยังเคยมาศึกษาที่โรงเรียนเทพศิรินทร์ {3}  ถ้ามาเลเซียจนเช่นพม่า ลาว กัมพูชา ปัญหาคงไม่เกิด ชาวมาเลย์คงเต็มใจอยู่และทำงานในไทยเช่นแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านอื่น

          ทางออกของปัญหาโจรใต้ก็มองได้ในหลายแง่มุม บางท่านไม่เห็นด้วยกับการปราบปรามเพราะเกรงปัญหาลุกลาม กลัวละเมิดสิทธิมนุษยชน แต่ประสบการณ์ทั่วโลกชี้ว่าการปราบเป็นแนวทางหลักในการแก้ปัญหา
          1. กรณีกบฎอาเจะห์ ชาวอาเจะห์เคยเป็นอิสระและสมัครใจรวมกับอินโดนีเซียในปี พ.ศ.2502 แต่พอต้องการแยกตัว ซึ่งพวกเขามีความชอบธรรมที่จะทำเช่นนั้น อินโดนีเซียกลับไม่ยอม ส่งทหารเข้าปราบปรามจนมีผู้เสียชีวิต 15,000 คน หลายคนเข้าใจผิดว่ากบฏอาเจะห์สงบลงเพราะการเจรจาและการล้างปัญหาโดยสึนามิ แต่ในความเป็นจริงปรากฏว่า ในช่วงปี พ.ศ.2545-2547 กบฎถูกปราบหนักจนแทบราบคาบ ผู้นำใหญ่เสียชีวิต และพอเกิดสึนามิเมื่อปลายปี พ.ศ.2547 ที่ทำให้ประชาชนเสียชีวิตไปราว 200,000 คนจาก 4,400,000 คน ไฟกบฎก็มอดสนิทในที่สุด {4}
          2. กรณีกบฎพยัคฆ์ทมิฬอีแลม ซึ่งต่อสู้กันมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2526 ระหว่างชาวทมิฬผู้นับถือศาสนาฮินดูกับชาวสิงหลผู้นับถือศาสนาพุทธจนลุกลามเข้ากรุงโคลอมโบ มีอยู่ช่วงหนึ่งตำรวจต้องถือปืนกลคอยตรวจตราตามสี่แยกเพราะอาจถูกโจมตีได้ตลอดเวลา สนามบินก็ปิดในช่วงค่ำด้วยฝ่ายกบฏซึ่งมีสนามบินของตนเอง อาจใช้ความมืดลอบบินมาถล่มได้ มีการเจรจาสงบศึกในประเทศไทย 2-3 หน แต่ในที่สุดรัฐบาลศรีลังกาก็ส่งทหารเข้าปราบเด็ดขาด หัวหน้ากบฎและพลพรรคถูกปลิดชีพเป็นจำนวนมาก ในครั้งนั้นองค์การสหประชาชาติ “เต้น” อยู่พักหนึ่ง หาว่า “ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” แต่ก็เงียบไปและศรีลังกาก็คืนสู่ความสงบในที่สุด {5}
          3. กรณีคอมมิวนิสต์ไทย นับแต่การต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธในปี พ.ศ.2508 คอมมิวนิสต์ไทยก็ขยายตัวต่อเนื่อง ยิ่งเกิดกรณีการปราบปรามนักศึกษาในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ก็ยิ่งทำให้มีแนวร่วมเพิ่มขึ้น แต่ไม่กี่ปีต่อมาการต่อสู้ก็จบสิ้นลง หลายคนเข้าใจว่าความสงบเกิดจากนโยบาย 66/2523 {6} ที่ประนีประนอม แต่ความจริงคอมมิวนิสต์ไทยหมดโอกาสชนะแล้วเพราะเกิดความขัดแย้งในหมู่ประเทศสังคมนิยม และรัฐบาลไทยยังสามารถเจรจากับรัฐบาลจีนได้สำเร็จ ดังนั้นพวกเขาจึงยอมวางอาวุธในที่สุด

          ต่อกรณีโจรใต้ของไทย การใช้ไม้นวม-เจรจาเป็นสิ่งที่ควรดำเนินการ แต่อย่าไปหลงใหลเพราะเป็นการซื้อเวลาบ่มเพาะโจรให้เติบใหญ่ คนไทยต้องสามัคคีกันให้เกิดพลังเข้มแข็ง หากอ่อนแอตีกันเอง ก็จะเกิดการแยกตัวเช่นกรณีรัสเซีย หรือยูโกสลาเวีย หากจีนอ่อนแอ ป่านนี้คงมีการแยกเป็นประเทศทิเบต ซินเกียง หรือมองโกเลียในไปแล้ว

        ในปัจจุบันประเทศตะวันออกกลาง ก็ไม่ได้มีเอกภาพเช่นแต่ก่อน ไม่ได้ส่งเสริมการก่อการร้ายเช่นพวกผู้เผด็จการเดิม และต่างพยายาม “กวาดบ้านตนเอง” มากกว่าที่จะมาแทรกแซงกิจการภายในของประเทศอื่น ดังนั้นประเทศไทยจึงต้องปราบโจรใต้อย่างเด็ดขาด แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลจริงจังกับการปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนผู้บริสุทธิ์ ทำให้อริราชศัตรูเพื่อนบ้านที่หนุนหลังโจรใต้ครั่นคร้าม ไม่กล้าเสี่ยงกับสงครามโดยไม่จำเป็น และทำให้โจรใต้หมดไปในที่สุด

          อย่าให้ใครมาแบ่งแยก ทุกเชื้อชาติศาสนาสามารถอยู่ร่วมกันได้ใต้ร่มธงไทย

วันอังคารที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

เงาแห่งสันติภาพที่เลือนลางกับข้อต่อรองที่มืดมน อาชญากรก็คืออาชญากร




  แล้วความเคลือบแคลงใจของหลายฝ่ายเกี่ยวกับบทบาทท่าทีและความจริงใจของผู้แทนขบวนการบีอาร์เอ็นก็ปรากฏชัดและแสดงให้เห็นถึงความต้องการที่แท้จริงซึ่งแอบแฝงอยู่ภายใต้วาทะกรรม “สันติสนทนา” ด้วยเกมส์รุกที่เหนือชั้นของฮาซัน ตอยิบ และอับดุลการิม คอลิบ ผู้แทนบีอาร์เอ็นซึ่งได้แถลงข้อเสนอ 5 ข้อเผยแพร่ผ่านยูทูบก่อนวันที่จะมีการพูดคุยรอบที่ 3 เพียง 1 วัน  แน่นอนว่าด้วยข้อเสนอทั้ง 5 นั้น ได้สร้างกระแสความไม่เห็นด้วยและได้รับการปฏิเสธจากหลายฝ่าย  ขณะที่ระดับนโยบายรวมถึงผู้มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับการเจรจาไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธอย่างชัดเจน

  ตามมาด้วยกระแสวิพากษ์แสดงทัศนะของนักวิชาการอีกหลายท่าน โดยเฉพาะท่านที่มีบทบาทชี้นำความเป็นไปในพื้นที่ทั้งที่เกี่ยวข้องโดยเป็นนักวิชาการที่มีเชื้อสายมลายูและส่วนที่อยู่ในสถาบันส่วนกลาง  จากน้ำเสียงของท่านเหล่านั้นล้วนแล้วแต่ได้แสดงทัศนะในเชิงสร้างสรรค์ พร้อมชี้ให้เห็นถึงความเป็นไปได้อย่างมีนัยสำคัญที่น่าสนใจ  ภายใต้ความมุ่งหวังเดียวกันคือ ร่วมกันแสวงหาทางออกด้วยแนวทางสันติเพื่อให้ปัญหาที่ยื้ดเยื้อมานานจบลงโดยเร็ว
  
  ข้อเสนอทั้งข้อเริ่มตั้งแต่ให้ยอมรับประเทศมาเลเซียเป็นคนกลางในการเจรจา (ซึ่งจริงๆเวลานี้ต้องเรียกว่าพูดคุย)  การให้มีพยานจากอาเซียน องค์การความร่วมมืออิสลามหรือเอ็นจีโอเข้ามาร่วมพูดคุย รวมถึงการที่ฝ่ายไทยต้องยอมรับว่าบีอาร์เอ็นไม่ใช่ขบวนการแบ่งแยกแต่เป็นขบวนการปลดปล่อยชาวปาตานีนั้น  หากพิจารณาถึงสาระแล้วไม่ใช่เรื่องใหญ่หากทั้งสองฝ่ายมีความจริงใจที่จะสร้างสันติภาพให้เกิดขึ้นร่วมกันโดยคำนึงถึงประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นหลัก  เพราะในทุกเวทีที่มีการเจรจาเพื่อสันติภาพในประเด็นความขัดแย้งใดๆ ก็จำเป็นที่จะต้องมีองค์ประกอบเหล่านี้เพื่อให้เกิดความพึงพอใจร่วมกันของคู่เจรจา แม้ว่าเจตนาของบีอาร์เอ็นต้องการที่จะยกระดับการพูดคุยเป็นการเจรจาที่สูงขึ้นก็ตาม

  แต่วันนี้กระบวนการสันติภาพยังอยู่ในขั้นตอนของการพูดคุยเพื่อสร้างความไว้วางใจซึ่งกันและกันระหว่างฝ่ายไทยและกลุ่มขบวนการยังไม่ถึงขั้นการเจรจา  ข้อเสนอข้างต้นจึงยังเป็นเพียงข้อเสนอที่ต้องใช้เวลาพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบ  เพราะหากกระบวนการมีการพัฒนาไปถึงขั้นการเจรจาแล้วข้อเสนอซึ่งวันนี้ยังพิจารณาร่วมกันได้จะกลายเป็น “ข้อต่อรอง” ซึ่งหากถึงเวลานั้นจริงๆ  คู่เจรจาและองค์ประกอบข้างต้นจะเป็นองคาพยศสำคัญในการร่วมกันทำให้บรรลุวัตถุประสงค์สามารถนำไปสู่สันติภาพที่ต้องการ  หรือหนทางแห่งสันติภาพอาจพังทลายลงอย่างไม่เป็นท่าหากไม่สามารถบรรลุข้อตกลง  ทั้งสองหนทางนี้มีความเป็นไปได้เท่าๆ กันซึ่งนับเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญยิ่งโดยมีชะตากรรมของประชาชนในพื้นที่เป็นเดิมพัน

  โดยรวมแล้วก็ต้องใช้เวลาในการพิจารณาร่วมกันพร้อมฟังเสียงของประชาชนเจ้าของประเทศด้วย ซึ่งนั้นเป็นวิถีแห่งประชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ  ยกเว้นข้อเสนอข้อที่  4  คือต้องปล่อยตัวผู้แกนนำแนวร่วมในคดีความมั่นคงโดยไม่มีเงื่อนไข ที่ฟังอย่างไรก็รู้สึกคับข้องใจระคนสงสัยว่านี่คือข้อเสนอที่จะนำไปสู่สันติภาพได้กระนั้นหรือ  เพราะตั้งแต่เหตุการณ์รุนแรงที่ปะทุขึ้นอีกครั้งตั้งแต่ต้นปี 47 เป็นต้นมา การเสียชีวิตของพลเรือน เจ้าหน้าที่รัฐผู้ปฏิบัติหน้าที่ภายใต้กรอบกฏหมาย ประชาชนทุกสาขาอาชีพทั้งที่เป็นพุทธและมุสลิม  ไม่เว้นแม้แต่คนแก่ เด็กผู้บริสุทธิ์ไร้เดียงสาต้องสูญเสียชีวิตไปด้วยการก่อเหตุร้ายหลายรูปแบบ เป็นการก่ออาชญากรรมต่อพี่น้องประชาชนอย่างร้ายแรง  แล้วด้วยข้อเสนอข้อนี้หากรัฐบาลไทยยอมรับแล้วปล่อยให้อาชญากรเหล่านั้นออกมาเดินลอยชายเสมือนไม่ได้ก่อกรรมทำเข็ญกับประชาชนไว้  รัฐบาลไทยจะตอบคำถามนี้กับประชาชนโดยเฉพาะกับญาติพี่น้องของผู้สูญเสียเหล่านั้นได้อย่างไร
      ข้อเสนอของบีอาร์เอ็นในข้อนี้จึงไม่ใช่หนทางไปสู่สันติภาพ  แต่เป็นความแข็งกร้าวที่ต้องการกดดันรัฐบาลไทยให้ยอมรับด้วยคิดว่ากลุ่มตนมีแต้มต่อที่สำคัญ กล่าวคือ หากไม่ยอมรับก็ก่อเหตุร้ายต่อไป  และแน่นอนว่าบีอาร์เอ็นนอกจากไม่เคยประกาศความรับผิดชอบต่อการกระทำแม้แต่ครั้งเดียวแล้ว ยังโยนความผิดให้ฝ่ายรัฐหากโอกาสอำนวย
       และหากการเสนอตนออกมาเป็นผู้แทนการพูดคุยของบีอาร์เอ็นมีความจริงใจตามที่กล่าวอ้างแล้ว การเปิดเผยตัวตนและขบวนการครั้งนี้จึงเท่ากับเป็นการยอมรับว่าเหตุร้ายทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้นบีอาร์เอ็นเป็นผู้อยู่เบื้องหลังและต้องรับผิดชอบต่อการก่อเหตุจนนำไปสู่การสูญเสียทั้งหมด ซึ่งผู้ที่ก่อเหตุซึ่งกำลังถูกคุมขังและขบวนการเสนอให้ปล่อยตัวนั้นย่อมต้องเกี่ยวข้องกับบีอาร์เอ็นด้วยเช่นกัน

  ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยการตัดสินใจเรื่องใดๆ ส่วนที่เกี่ยวข้องต้องนำบทบัญญัติมายึดถือและนำมาเป็นบรรทัดฐานเพื่อให้เกิดความเสมอภาคในการบังคับใช้กฏหมาย เพราะท้ายที่สุดแล้วแล้วประชาชนในพื้นที่จะตัดสินใจได้เองว่า ใครที่ให้ความสำคัญกับประชาชน ใครที่ต้องการให้สันติสุขเกิดขึ้นในพื้นที่  ใครเป็นอุปสรรคขัดขวาง  และใครคืออาชญากร  เพราะอาชญากรก็คืออาชญากร


ชอเก๊าะ  นิรนาม