วันศุกร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2557

กราดยิงชาวบ้านบันนังกูแว ความจริงที่สื่อไม่กล้าเปิดเผย

 ตนไทยปลายด้ามขวาน

            สถานการณ์ชายแดนภาคใต้ ผู้ที่ติดตามข่าวสารมาโดยตลอด จากการนำเสนอของสื่อมวลชนในแต่ละวันจะเห็นได้ว่ามีความรุนแรงขึ้นทั้งที่ก่อนหน้านี้เหตุการณ์ได้บรรเทาเบาบางลงไปบ้าง อะไรคือปัจจัยที่ส่งผลให้ไฟใต้ไม่มีทีท่าจะดับลงสักที ความสงบ สันติสุข ที่ประชาชนในพื้นที่คาดหวังจากการพูดคุยสันติภาพต้องการ จะเป็นจริงได้หรือไม่ หากเหตุการณ์ยังคงคุกกรุ่นเช่นนี้อยู่ และจะต้องติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิดวันต่อวัน นอกเหนือไปจากปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองที่กำลังดำเนินอยู่ใจกลางเมืองกรุงเทพมหานคร สร้างความแตกแยกทางความคิด บ่อนทำลายความรู้สึกของคนไทยที่รักชาติ รักแผ่นดินเกิดทุกคน   


     ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ บางคนอาจจะมองเป็นเรื่องปกติ และรู้สึกเบื่อหน่ายกับเหตุการณ์ฆ่ากันตายรายวันในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ไม่มีวี่แววจะสงบสักที ผู้คนต่างกล่าวถึงการก่อเหตุร้ายที่เกิดขึ้นว่าเป็นเรื่องปกติประจำวัน หากวันไหนเงียบไม่เกิดเหตุ รู้สึกผิดปกติ เพราะต่างคนต่างรู้สึกชินชากับเหตุร้าย และสามารถใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางเสียงปืน เสียงระเบิด และกลิ่นคาวเลือด แต่จากการสังเกตในช่วงนี้จะเห็นได้ว่าการก่อเหตุรุนแรงมีการมุ่งเป้าไปที่ประชาชนในพื้นที่เป็นหลัก หลังจากนั้นมีการกล่าวอ้างเอาคืนด้วยการฆ่าแล้วเผาชาวไทยพุทธเพื่อสร้างเงื่อนไขความเกลียดชัง ความขัดแย้งขึ้นระหว่างเชื้อชาติ และศาสนา ในส่วนของการลอบทำร้ายเจ้าหน้าที่มีบ้างประปราย หากสังเกตจะพบว่าการก่อเหตุกับเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ ผู้ก่อเหตุรุนแรงจะเน้นการใช้ระเบิดเป็นหลัก ต่างกับประชาชนทั่วไปจะเป็นไปในลักษณะของการลอบยิง วางเพลิง และโปรยใบปลิวอ้างความชอบธรรมในการเข่นฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์ โดยการกล่าวอ้างทำเพื่อประชาชนปาตอนี  
        
     ปัญหาในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ สาเหตุหลักมาจากความขัดแย้งที่ได้สะสมมานานแล้ว มีความเกี่ยวพันเชื่อมโยงที่สลับซับซ้อนกับธุรกิจการค้าความขัดแย้งระหว่างคนในตระกูล ปัญหาการเมืองท้องถิ่น ปัญหาภัยแทรกซ้อน กลุ่มอิทธิพลมืด ธุรกิจผิดกฎหมาย และยาเสพติด กลายเป็นเชื้อในกองเพลิงชั้นดีในการสุมให้ไฟใต้ไม่มีวันดับ การสร้างสถานการณ์ต่างๆ ของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงเพื่อดึงดูดความสนใจ เหตุจูงใจให้กลุ่มผู้ที่กระทำผิดกฎหมายในเรื่องผลประโยชน์ต่างตอบแทน หันมาใช้บริการกลุ่ม RKK ติดอาวุธในพื้นที่เข่นฆ่าคู่ขัดแย้งธุรกิจเถื่อนเหตุนองเลือดจึงเริ่มต้นขึ้น เกี่ยวเนื่องเป็นลูกโซ่โดยการอาศัยสถานการณ์บังหน้า ในการก่อเหตุของกลุ่มขบวนการBRN ผสมโรงโดยกลุ่มองค์กรภาคประชาสังคม นักวิชาการในมหาวิทยาลัยดัง โดยเฉพาะกลุ่ม PerMAS ที่อาศัยสถานการณ์ความขัดแย้ง ปลุกปั่น ปลูกฝัง สืบทอดอุดมการณ์ด้านประวัติศาสตร์ เชื้อชาติ ศาสนา ภาษา และมาตุภูมิ ให้ประชาชนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เกิดความแปลกแยกด้านจิตใจ นำไปสู่ความหวาดระแวงเจ้าหน้าที่รัฐ

           

       ปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่ในการก่อเหตุฆ่ากันเองของประชาชนกลายเป็นปัญหาที่มีการนำมาเชื่อมโยงกับสถานการณ์ไฟใต้ได้อย่างแนบเนียน ลงตัวประจวบเหมาะกับห้วงเวลา มีการบิดเบือนกล่าวหาว่าเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ จากกรณีนายอาแซ (ซัน) สมาชิกครอบครัว ผดุง บ้านบันนังกูแว ซึ่งเป็นคู่ขัดแย้งกับอับดุลฮากิม ดาราเซะ เจ้าหน้าที่อาสาสมัครรักษาดินแดนอำเภอบันนังสตา จังหวัดยะลา เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่ยืนยันมาจากความแค้นส่วนตัว ความหวาดระแวง และความกังวลว่าจะถูกลอบทำร้ายจึงตัดสินใจชิงลงมือทำการก่อเหตุกราดยิงจน นายดอเลาะ นางมารีแย ผดุง ต้องมาจบชีวิตแทนลูกชายคาบ้านพัก กลายเป็นที่สนใจของคนทั่วไป ซึ่งหลังเกิดเหตุนายอับดุลฮากิม กลายเป็นผู้ต้องสงสัยทันที่พร้อมกับการหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย แต่การดำเนินเกมส์ของขบวนการBRN และกลุ่ม PerMSAS ได้มีการโฆษณาชวนเชื่อ กล่าวหาว่าเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ หากพลิกปูมหลังของคนในตระกูล ผดุง นำมาส่องทีละคนพบว่าไม่ธรรมดาอย่างที่คิด ไม่ติดใจเลยว่าทำไมกลุ่มขบวนการ BRNและกลุ่ม PerMAS จึงจัดฉากสร้างละครให้ประชาชนหลงเชื่อว่าเกิดจากน้ำมือของเจ้าหน้าที่ โดยนายดอเลาะ ผดุงผู้พ่อ พฤติกรรมเป็นแนวร่วม เมื่อปี 2553 แต่ยังไม่มีความชัดเจนเท่าที่ควร แต่ต่อมาภายหลังจากนายมะยาหะรี อาลี ซึ่งเป็นแกนนำในพื้นที่บ้านบันนังกูแว ได้ถูกคนร้ายลอบยิงเสียชีวิต นายดอเลาะ ผดุง ได้ขึ้นมาทำหน้าที่แทนอย่างเต็มตัว 
            นางมารีแย ผดุง ภรรยา นายดอเลาะ มิใช่ย่อยแต่เริ่มเดิมทีเป็นแกนนำฝ่ายสตรีเคลื่อนไหวในพื้นที่ ทำหน้าที่ปลุกระดมมวลชน ชักชวนให้ราษฎรออกมาชุมนุมต่อต้านการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่รัฐในพื้นที่บ้านบันนังกูแว ส่วนตัวลูกชาย คือนายอาแซ (ซัน) ผดุง เดิมเป็นสมาชิกระดับปฏิบัติการ จบการศึกษาชั้น 10 จากโรงเรียนธรรมวิทยา ขณะกำลังศึกษาอยู่มหาวิทยาลัยราชภัฎยะลา ตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุลอบวางระเบิด 7 จุด ภายในเขตเทศบาลเมืองยะลา เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2550 หน่วยงานภาครัฐจึงได้ออกหมาย พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2551 นายอาแซ ได้ไปรายงานตัวแสดงตนต่อผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา เพื่อเข้าร่วมศูนย์ยะลาสันติสุข ได้ยอมรับว่าเคยถูกชักชวนเข้าร่วมขบวนการจริงสมัยที่เรียนอยู่โรงเรียนธรรมวิทยา แต่ไม่เคยก่อเหตุรุนแรงจึงได้รับการปล่อยตัวไปเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2552 ที่น่าสนใจคือในปัจจุบันนายอาแซ ผดุง เป็นสมาชิกกลุ่มชมรมบัณฑิตอาสาจังหวัดชายแดนใต้ (Insouth) และสมาชิกกลุ่ม PerMAS ที่มีนายสุไฮมี ดูละสะ เป็นประธานกลุ่มในการขับเคลื่อนแย่งชิงมวลชนกับเจ้าหน้าที่รัฐ
            ย้อนกลับไปดูต้นตอความขัดแย้งของตระกูล ผดุง กับนายอับดุลฮากิม ดาราเซะ มาจากสาเหตุนายอาแซ ตกเป็นผู้ต้องสงสัยลอบวางระเบิดอีกถึง 2 ครั้ง ด้วยกันหลังได้รับการปล่อยตัว และปมที่สำคัญนำไปสู่ความขัดแย้งเริ่มต้นจากเหตุคนร้ายลอบวางระเบิดนายอับดุลฮากิม ดาราเซะ เจ้าหน้าที่อาสาสมัครรักษาดินแดนอำเภอบันนังสตา จังหวัดยะลา กับพวกในพื้นที่บ้านบันนังกูแว โดยนายอับดุลฮากิมฯ ให้การยืนยันชัดเจนว่า นายอาแซ ผดุง มีส่วนเกี่ยวข้องแน่นอน ซึ่งเป็นชนวนนำไปสู่ความบาดหมาง ความหวาดระแวง และในที่สุดนำมาซึ่งความตายของคนในครอบครัว ผดุง ถึง 2 ศพ ด้วยกัน
           
 หลังเกิดเหตุกลุ่ม PerMAS สร้างละครน้ำเน่าเคลื่อนไหวเชิงสัญลักษณ์ลงพื้นที่เกิดเหตุทันที กล่าวหาเป็นฝีมือเจ้าหน้าที่รัฐ ด้านขบวนการ BRN มิรอช้าใช้โอกาสในการก่อเหตุ กระทำต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ทันทีโดยการปาระเบิด M-26A1 ร้านก๋วยจั๊บ หน้าโรงเรียนผดุงประชาพาณิชยการ เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2557 แต่โชคดีระเบิดด้านไม่มีผู้บาดเจ็บล้มตาย พร้อมกันนี้ได้ทิ้งใบปลิวไว้ข้อความว่า โทษฐานที่มึงปล่อยให้หมาอับดุลฮากิม ดาราเซะอส.อ.บันนังสตา ระรานชาวบ้านบันนังกูแวถัดมาวันที่ 4 มีนาคม เกิดเหตุยิง 2 สามีภรรยาชาวไทยพุทธ พื้นที่เกิดเหตุหมู่ที่ 2 ตำบล/อำเภอบันนังสตา นายอภิชาต แสงจันทร์ นางอังคณา หนูแดง ภรรยาเสียชีวิต สามีได้รับบาดเจ็บ ส่วนวันที่ 5 มีนาคม 2557 เหตุเกิดกับชาวไทยพุทธเช่นเดิม นายประวิง นางสุนีย์ หลุมนา เสียชีวิตคาที่เหตุเกิดพื้นที่ บ้านจาเต๊ะ หมู่ที่ 1 ตำบลเขื่อนบางลาง อำเภอบันนังสตา และเหตุการณ์ที่ 4 เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2557 คนร้ายประกบยิง สิบโทจิรพันธ์ ปราบณรงค์ สังกัดหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 48 ช่วยราชการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า เสียชีวิต ส่วนนางสาวอารีรมณ์ สมสวย ภรรยาได้รับบาดเจ็บ เหตุเกิดท้องที่บ้านทุ่งคอก ตำบลตาเซะ อำเภอเมือง จังหวัดยะลา พร้อมทิ้งใบปลิว กูทำเพื่อชาวบ้าน บันนังกูแว

            นี่คือความเลวร้ายของกลุ่มขบวนการ BRN ที่ยังคงใช้ยุทธวิธีรูปแบบเดิมๆ ในการก่อเหตุ จากปัญหาความขัดแย้งส่วนตัว การฆ่ากันเองของกลุ่มสูญเสียผลประโยชน์ นำมาซึ่งความตายของการฆ่ากัน ทำลายล้างฝ่ายตรงข้าม ขบวนการ BRN กลับนำมาอ้างว่าเกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ ผลสุดท้ายสร้างความหวาดกลัวด้วยการลงมือเข่นฆ่าชาวไทยพุทธผู้บริสุทธิ์ พร้อมกับสร้างความชอบธรรมด้วยการโปรยใบปลิว อย่างหน้าด้านๆ แค่ต้องการเอาคืนที่คนของขบวนการโดนฆ่าตาย ทั้งๆ ที่ประชาชนผู้เสียชีวิตไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับใครทั้งสิ้น ครั้งแล้วครั้งเล่าเมื่อความจริงปรากฏออกมาโจรใต้ไร้ศาสนากลุ่มนี้ไม่เคยออกมารับผิดชอบ เหตุการณ์เช่นนี้ไม่ใช่ครั้งสุดท้าย แต่ยังคงดำรงอยู่ต่อไปตราบใดไฟใต้ยังไม่มอดดับ ตราบใดที่ยังมีเชื้อเพลิงคอยหล่อเลี้ยงอยู่ อีกกี่ศพที่จะต้องสังเวยกับคราบน้ำตาที่ไม่เคยแห้งเหือดของคนที่สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักในครอบครัวไปศพแล้วศพเล่า อนิจจา..ความสงบ สันติสุข ที่ทุกคนโหยหา…

*****************************

ภัยแทรกซ้อนผลประโยชน์มหาศาลของ BRN

ภัยแทรกซ้อนผลประโยชน์มหาศาลของ BRN



นับตั้งแต่ปี 2547เป็นต้นมาที่กลุ่ม BRNได้ปล้นปืนกองพันพัฒนาที่ 4 ค่ายปิเหล็ง ไฟใต้ได้ลุกโชนมาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบันท่ามกลางสถานการณ์ความรุนแรงทุกรูปแบบที่กลุ่ม BRNได้สร้างความเสียหายให้กับทรัพย์สินของทางราชการและชีวิตของประชาชนผู้บริสุทธิ์รวมทั้งเจ้าหน้าที่รัฐ ต้องล้มตายลงแทบไม่เว้นแต่ละวัน แม้ว่ารัฐบาลโดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงที่พยายามทุกวิถีทางที่จะดับไฟใต้ด้วยนโยบายต่าง ๆ ที่คิดว่าจะทำให้ไฟใต้ได้ดับลงโดยเร็วที่สุดแล้วก็ตาม จนกระทั่งล่าสุดก็คือการพูดคุยตกลงกับกลุ่ม BRNก็ต้องล้มคว่ำลงอย่างไม่เป็นท่าแล้วปัญหาที่แท้จริงนั้นคืออะไร
สถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เราจะปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามีปัญหาภัยแทรกซ้อนที่แฝงตัวอยู่ในรูปของผลประโยชน์อันมหาศาลของกลุ่ม BRNเช่น สินค้าหนีภาษี น้ำมันเถื่อน ยาเสพติด และการค้าแรงงานข้ามชาติซึ่งเป็นท่อน้ำเลี้ยงท่อใหญ่อย่างดีให้กับกลุ่มBRNในการก่อความรุนแรงในพื้นที่  จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งในเหตุการณ์ต่าง ๆ นั้นได้เชื่อมโยงไปถึงแหล่งที่มาของท่อน้ำเลี้ยงที่ให้การสนับสนุนการก่อเหตุความรุนแรงแต่ละครั้ง ดังเช่นเหตุการณ์ที่กลุ่ม BRNได้เข้าโจมตีฐานร้อย.ร.15121(ฐานพระองค์ดำ) เมื่อวันที่ 19 มกราคม2554ที่ผ่านมาก็เนื่องจากหน่วยนี้เป็นจุดที่ตั้งด่านตรวจเพื่อสกัดกั้นภัยแทรกซ้อนดังกล่าวทำให้ผู้ประกอบการสิ่งผิดกฎหมายที่ใช้เส้นทางนี้ในการลักลอบขนส่ง โดยเฉพาะน้ำมันเถื่อนไม่พอใจเพราะได้มีการจับกุมน้ำมันเถื่อนได้หลายครั้งสร้างความเสียหายให้กับผู้ประกอบการมีมูลค่ามหาศาล ผู้ประกอบการจึงมีการระดมทุนที่เรียกว่าลงขันประมาณ 1 ล้านบาทเพื่อใช้ในการเข้าตีฐานแห่งนี้

            การปราบปรามน้ำมันเถื่อนได้เริ่มตั้งแต่วันที่ 4กุมภาพันธ์ 2554 หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว ได้จับกุมวันละประมาณ 60 คัน พอเริ่มจับกุมในที่พื้นที่จังหวัดยะลาในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2554 ก็เริ่มมีระเบิดที่ จังหวัดยะลา แต่ระเบิดครั้งนี้มันแตกต่างจากระเบิดครั้งก่อนๆ ที่ผ่านมาก็คือมันเกิดเปลวเพลิงขนาดใหญ่เผาผลาญตึกแถวในตัวเมืองยะลาไป 11 คูหา ก็ขยายผลปราบปรามหนักขึ้นไปอีกไปตรวจค้นโกดังน้ำมันเถื่อนที่ อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส แล้วก็มีระเบิดอีกครั้งที่ร้านคาราโอเกะ อำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาสจนกระทั่งมีเหตุระเบิดอีกครั้งในจังหวัดยะลา จากการเข้าตรวจค้นจับกุมรายใหญ่ทุกครั้ง ประมาณ 1-2 วัน ก็จะมีเหตุระเบิดตามมาทุกครั้ง จนตรวจค้นไปถึงโกดังของเจ้าพ่อรายใหญ่ในพื้นที่และมีการตรวจค้นโกดังหลายแห่งจับกุมน้ำมันได้หลายหมื่นลิตร
จากการตรวจค้นโกดังของนายนูซันตารา  แวดือราแม หรือผู้ใหญ่ตารา ในพื้นที่ อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส ก็ยอมรับว่าได้ค้าน้ำมันเถื่อนจริง ได้มีการส่งรถน้ำมันไปในพื้นที่ อำเภอรือเสาะ จังหวัดนราธิวาส วันละประมาณ 20,000 ลิตร  ผู้ใหญ่ตาราฯ เป็นผู้ค้าน้ำมันเถื่อนรายใหญ่รายหนึ่ง มีเรือบรรทุกน้ำมันถึง 30 กว่าลำ แล้วก็ขยายจากผู้ใหญ่ตาราฯ ไปยังพื้นที่ อำเภอรือเสาะ จังหวัดนราธิวาส พบโกดังขนาดใหญ่ มีแท้งค์ขนาด 30,000 ลิตร อยู่จำนวน 6-7 ถัง พบหลักฐานการนำน้ำมันเถื่อนปลอมปนกับน้ำมันพฤติกรรมก็คือ ไปซื้อน้ำมันมาจำนวน 10,000 ลิตร แล้วนำน้ำมันเถื่อนผสมลงไปอีก 30,000  ลิตรแล้วนำไปส่งที่ปั๊มต่างๆ ในพื้นที่ชายแดนภาคใต้

สำหรับรายนี้ก็จะมีเครือข่ายอยู่จำนวน 14 แห่ง ยังพบหลักฐานสำคัญอีกประการหนึ่งคือ เอกสารการเบิกถอนเงินของชมรมอิหม่ามรือเสาะ จากการตรวจสอบพบว่ามีการถอนเงินจากสหกรณ์ อิพนูอัฟฟาน จำนวน 3บัญชี ในวันที่19 และ 20มกราคม 2554จำนวน 1,015,000บาท โดยเจ้าของคือนายมนัส  ตาฮี
   จากข้อมูลนั้นพบความเชื่อมโยงของนายมนัส - ตาฮี  กับเครือข่ายของนายอับดุลฮาเล็ง  ยามาสกา แกนนำพื้นที่ อำเภอรามัน จังหวัดยะลา และมีความเชื่อมโยงไปถึง นายซูฟียัน  ยะกูมอ ซึ่งเป็นชุดปฏิบัติการที่เข้าโจมตีฐาน ร้อย.ร.15121 จากการตรวจสอบมีข้อมูลว่าเดือนพฤศจิกายน 2553 นายมนัส  ตาฮี ได้จ่ายเงินให้กับเครือข่ายของนายซูฟียันฯ จำนวน 400,000 บาท โดยจ่ายเงินผ่านนางซูกีนา  ยามาสกา ลูกสาวของนายอับดุลฮาเล็งฯ 

ต่อมาได้มีการขยายผลจากพื้นที่ อำเภอรือเสาะ จังหวัดนราธิวาส ไปยังพื้นที่จังหวัดยะลา เข้าตรวจค้นแหล่งสะสมน้ำมันหลังมัรกัสจังหวัดยะลา สามารถตรวจยึดบุหรี่หนีภาษีได้จำนวน 20,000 กว่าคอตตอน มูลค่าประมาณ15 ล้านบาท ซึ่งมี นายสุไฮมิง  อาลีมามะเป็นเจ้าของและตรวจสอบเอกสารก็พบหลักฐานว่ามีการจ่ายเงินจากเครือข่ายสินค้าหนีภาษี และน้ำมันเถื่อน ไปยังสถานที่โรงเรียนตาดีกาตันหยงนากอ ซึ่งเป็นเครือข่ายฝ่ายเศรษฐกิจของนายอาหมัด  ตือง๊ะ ที่ อำเภอบันนังสตา และ อำเภอกรงปินัง จังหวัดยะลาตรวจพบบัญชีที่มียอดเงินประมาณ8,000,000 บาท จากการตรวจสอบเลขบัญชี และเอกสารต่างๆ พบพฤติกรรม คือจะมีการโอนเงินทุกคืน ในห้วงเวลา 22.00– 24.00นาฬิกา คืนละประมาณ 200,000– 300,000 บาท มากที่สุด 800,000 บาท รวมแล้วสัปดาห์ละ 2-5ล้านบาท หนึ่งเดือนก็ประมาณ 20 ล้านบาท
จากการติดตามตรวจสอบบัญชีพบโอนมาที่บัญชีนายมาหามะ  โครมัส/ลาลา โกลก ที่ทำธุรกิจเรื่องการค้าผ้ามือสองบังหน้าอยู่ในพื้นที่ อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส ก็พบบัญชีที่มีวงเงินจำนวนมากเดือนละหลายสิบล้านบาท โดยมีการโอนมาจากจังหวัดอยุธยา, กรุงเทพ,  สมุทรปราการ, สุราษฎร์ธานี, ภูเก็ต, ยะลา. และ ในพื้นที่ อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส โดยมีพฤติการณ์หิ้วขนเงินสดวันละประมาณ 3 - 5 ล้านบาท นำไปฝากเข้าธนาคารในรัฐกลันตัน ประเทศมาเลเชีย แล้วพบการโอนเงินไปใน ประเทศมาเลเชีย,อินโดนีเซีย,ซาอุดิอาระเบีย, ปากีสถาน และ อัฟกานิสถานและยังพบโฉนดที่ดินจำนวนมาก รวมแล้วมีจำนวน 189 แปลง เป็นที่ดิน 184 ไร่ ส่วนใหญ่เป็นที่ดินในเขตเมืองที่มีมูลค่าสูง รวมมูลค่าประมาณ 500 ล้านบาท
ข้อมูลที่ได้เชื่อมโยงข้ามประเทศ มีความเชื่อมโยงกับเครือข่ายของชมรมสมาคมไทย  ปากีสถาน ซึ่งมีการไปประชาสัมพันธ์ในต่างประเทศว่าอีกไม่นานแผ่นดินนี้ก็จะเป็นประเทศเกิดใหม่ ฉะนั้นถ้าใครมาถือครองที่ดินไว้ที่นี่ก็จะเป็นพลเมืองของประเทศใหม่ ก็สามารถลงหลักปักฐานทำมาหากินและทำธุรกิจได้ จึงให้นายมาหามะ  โครมัส เป็นตัวแทนนายหน้าในการถือครองที่ดิน
           
  ท่านผู้อ่านครับ นี่เป็นเพียงแค่เหตุการณ์หนึ่งเท่านั้นเอง ยังมีความเชื่อมโยงให้ท่านผู้อ่านได้เห็นตัวตนที่แท้จริงของกลุ่ม BRN อีกมากมาย เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้แล้วพอจะมองภาพออกแล้วซินะครับว่า “ทำไม”สถานการณ์ความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ จึงดูเหมือนกับว่าไม่มีวี่แววจะสงบลงได้ง่าย ๆถ้าเป็นเพียงแต่คำกล่าวอ้างจากกลุ่มperMASซึ่งเป็นองค์กรบังหน้าโดยใช้เยาวชนที่เป็นนักเรียนและนักศึกษาที่ถูกครอบงำทางความคิดผิด ๆ ในเรื่องเชื้อชาติ ศาสนา และอัตลักษณ์ โดยฝังรากมาตั้งแต่โรงเรียนตาดีกาหรือปอเนาะแล้วนั้นมันคงไม่ใช่ปัญหาใหญ่ที่ฝ่ายความมั่นคงและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องจะเข้าไปแก้ปัญหาให้ลุล่วงไปได้ แต่ปัญหาภัยแทรกซ้อนเหล่านี้คือผลประโยชน์อันมหาศาลของกลุ่ม BRNที่เชื่อมโยงไปถึงเครือข่ายภายนอกประเทศที่มีผลประโยชน์ร่วมกันและมีการวางแผนกันอย่างเป็นระบบ ที่ทำให้การแก้ปัญหาของฝ่ายความมั่นคงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีความยากลำบากในการแก้ปัญหาซึ่งในระดับรัฐบาลต้องประสานการปฏิบัติในการแก้ปัญหาเหล่านี้ให้สอดคล้องร่วมกัน และที่สำคัญพี่น้องประชาชนทุกคนต้องร่วมด้วยช่วยกันทำให้แผ่นดินนี้ไม่ให้เป็นไปตามคำกล่าวอ้างของชมรมสมาคมไทย  ปากีสถาน ที่มีการไปประชาสัมพันธ์ในต่างประเทศว่า“อีกไม่นานแผ่นดินนี้ก็จะเป็นประเทศเกิดใหม่ ฉะนั้นถ้าใครมาถือครองที่ดินไว้ที่นี่ก็จะเป็นพลเมืองของประเทศใหม่” เราจึงจะสามารถก้าวพ้นปัญหาเหล่านี้ไปได้  มิฉะนั้นการแก้ปัญหาความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ก็ดูเหมือนว่าจะถึงทางตัน หรือมองไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์เลย
แหวะอก BRN
*******************************