วันอังคารที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2557

เมื่อความจริงปรากฎ อูลามะ BRN ชี้เหตุร้ายใน จชต. คือ “ญิฮาด” เสี้ยมสมุนฆ่าได้ไม่เว้นมุสลิม



ยังถกเถียงกันไม่จบว่า ความขัดแย้งในภาคใต้ของประเทศไทยระหว่างฝ่ายรัฐและขบวนการก่อเหตุรุนแรงที่ถึงขณะนี้อาจเรียกได้ว่ากลุ่มแบ่งแยกดินแดน ที่ส่งผลให้ประชาชนบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก โดยฝ่ายแรกเป็นผู้ปกป้องกับฝ่ายหลังเป็นผู้ก่อเหตุนั้น ในมุมมองของศาสนาเป็นการต่อสู้ตามที่หลักศาสนาอิสลามเรียกว่า “ญิฮาด” หรือไม่  

โดยเฉพาะฝ่ายขบวนการได้นำหลักการต่อสู้ในแนวทางของอัลลอฮ์ (สุบหฺฯ) มาบิดเบือนโดยมุ่งหวังใช้ความศรัทธาอันบริสุทธิ์ของบ่าวของพระองค์ ให้แนวร่วมปฏิบัติการที่ติดอาวุธเข้าใจผิดว่ากำลังถูกละเมิดสิทธิ     ในความเป็นมุสลิมของตน และต้องจับอาวุธลุกขึ้นต่อสู้เหมือนที่กำลังเป็นอยู่ในพื้นที่แห่งนี้

ซึ่งจากเอกสารการบิดเบือนศาสนาที่เจ้าหน้าที่ได้จากการตรวจค้นมีส่วนหนึ่งเป็นคำวินิจฉัยชี้ขาดของ     อูลามะของขบวนการต่อการญิฮาดที่ปัตตานี ส่วนใหญ่กล่าวถึงการขับไล่ เข่นฆ่าคนศาสนาอื่นโดยเฉพาะคนไทยพุทธว่าสามารถทำได้โดยชอบธรรม ยิ่งไปกว่านั้นแม้แต่พี่น้องมุสลิมด้วยกันหากมีความพยายามทำลายการต่อสู้ ของพวกเขาก็สามารถฆ่าได้เช่นกัน นี่อาจเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้แนวร่วมปฏิบัติการรุ่นใหม่กระทำการอย่างอุกอาจโดยไม่เลือกหน้า ที่อยากจะยกตัวอย่างให้เห็น เช่น

นายมุคตาร์ กีละ นักการเมืองผู้มีนิสัยโอบอ้อมอารี มีความจริงใจที่จะช่วยเหลือประชาชนโดยการตั้งพรรคการเมืองชื่อ “พรรคประชาธรรม” ที่เคยมีอุดมการณ์ร่วมกับขบวนการในช่วงหนึ่ง แต่กลับมาต่อสู้ตามแนวทางสันติซึ่งผิดหลักการของขบวนการ จึงถูกสังหารและมีความพยายามโยนความผิดให้เจ้าหน้าที่ แต่โชคดีที่ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้านในที่เกิดเหตุสามารถยิงคนร้ายเสียชีวิต และพบว่าเป็นคนของขบวนการเอง ทำให้ไม่สามารถบิดเบือนกล่าวหาได้สำเร็จ (รายละเอียดเพิ่มเติม http://pulony.blogspot.com/2012/01/blog-post_13.html )  

หรืออีกกรณีที่ยังเป็นที่กล่าวถึงความเลวทรามของขบวนการในหมู่ประชาชนทั่วไปคือ อิหม่ามยะโก๊บ    หร่ายมณี ผู้นำทางจิตวิญญาณของพี่น้องมุสลิมซึ่งมีบทบาทในการเป็นอิหม่ามที่ต่อต้านการบิดเบือนคำสอน     ทางศาสนาและการใช้ความรุนแรงมาโดยตลอด ได้ถูกลอบสังหารพร้อมๆ กับความเชื่อมโยงที่ชี้ชัดว่าเป็นฝีมือของฝ่ายขบวนการ(รายละเอียดเพิ่มเติม  http://pulony.blogspot.com/2013/08/blog-post.html )

ฆ่าคนมุสลิมที่เป็นที่รักของประชาชนทั่วไปเพราะขัดแย้งทางความคิดกับกลุ่มของตนโดยกล่าวหาว่าเป็น “มูนาฟิก” จะเรียกได้อย่างไรว่าเป็น “ญิฮาด”

การก่อเหตุร้ายโดยอ้างการญิฮาดข้างต้นจึงขัดกับหลักการต่อสู้ในแนวทางของพระเจ้าโดยสิ้นเชิง เพราะในความเป็นจริงการญิฮาดนั้น ผู้รู้ทางศาสนาอิสลามได้วินิจฉัยแล้วว่าสามารถกระทำได้ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า ถูกกดขี่และขับไล่อย่างอยุติธรรม ถูกลิดรอนสิทธิ์ทางศาสนา และจะต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ทางจริยธรรมในการทำสงคราม  เพราะฉะนั้นการก่อความรุนแรงต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ย่อมไม่ถือว่าเป็นการญิฮาด

และการญิฮาดจะต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ทางจริยธรรมในการทำสงคราม คือ การต่อสู้กับบรรดาผู้เป็นศัตรู แต่อย่าเริ่มเป็นศัตรูก่อน...ดังอายะห์อัลกุรอาน ความว่า แท้จริงอัลลอฮ์(สุบหฺฯ)ไม่ทรงรักผู้รุกราน(2:190) นอกจากนั้นต้องไม่ทำลายศพ ไม่ฆ่าเด็ก สตรี คนชรา พลเรือน ผู้บริสุทธิ์และกลุ่มบุคคลที่ทำสัญญาสงบศึก   ไม่ทำลายทรัพย์สิน ไม่ตัดโค่นหรือเผาทำลายต้นไม้ ไม่ฆ่าสัตว์ แต่จะต้องให้ความเมตตาและการเอาใจใส่ เช่น ให้การบริการทางการแพทย์หรือพยาบาลต่อเชลยศึก
แต่ที่กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงกระทำในพื้นที่สามจังหวัดภาคใต้ล้วนขัดต่อหลักการข้างต้นทั้งสิ้น 


แม้แต่ประธานกรรมการอิสลามประจำจังหวัดยะลาท่านสะมะแอ   เบ็นอับดุลลาติป ฮารี ผู้นำศาสนาในพื้นที่ยังได้ออกมาให้คำวินิจฉัยว่า เหตุที่เกิดขึ้นในพื้นที่แห่งนี้มิใช่การ “ญิฮาด” แต่เป็นความพยายามของผู้ก่อความไม่สงบที่นำหลักการนั้นมาใช้ ซึ่งไม่ได้รับการยอมรับว่าการต่อสู้ของพวกเขานั้นเป็นการต่อสู้แบบหนึ่งของญีฮาด โดยเฉพาะจากประชาชนผู้มีความรู้ความเข้าใจในหลักการสอนของศาสนาอิสลาม ตรงกันข้ามกลับสร้างความมัวหมองให้แก่ภาพลักษณ์ของศาสนาอิสลาม จากการที่พยายามเชื่อมโยงการต่อสู้ของพวกตนเข้ากับศาสนา

ผลจากการกระทำของผู้ก่อเหตุรุนแรงข้างต้นส่งผลกระทบต่อสังคมอย่างรุนแรงทั้งการสูญเสียชีวิตและทำลายสภาพสังคมจิตวิทยา สร้างความหวาดระแวงระหว่างพี่น้องมุสลิมและประชาชนผู้นับถือศาสนาอื่นๆ อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนและยากที่ประสานรอยร้าวกลับมาได้ในเวลาอันสั้น หรืออาจไม่สามารถนำสังคมที่เคยอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขในอดีตให้กลับมาได้อีกก็เป็นได้

อย่างทราบกันดีว่าจากยอดผู้เสียชีวิต ( ธ.ค.56 ) สรุปแล้วมีจำนวนถึง 4,884 คน ไม่รวมผู้บาดเจ็บอีกกว่าหมื่นคน ผู้ที่เสียชีวิตมากที่สุดคือชาวมลายูผู้นับถือศาสนาอิสลาม ซึ่งประชาชนทราบดีว่าเกิดจากการกระทำของขบวนการแต่กลับทำไม่รู้ไม่เห็น และมักจะปฏิเสธที่จะพูดถึงการต่อต้านพวกก่อความไม่สงบ อันเนื่องมาจากความกลัวในเรื่องความปลอดภัยของตนเองเพราะถูกข่มขู่จากขบวนการซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญ

จากหลายพันหลายหมื่นเหตุการณ์ที่ผ่านมา แม้จะมีความพยายามนำเสนอภาพบุคคลเหล่านี้ในฐานะนักสู้หรือวีรบุรุษก็ตาม แต่จากประจักษ์พยานหลักฐานที่ชี้ชัดว่าใครเป็นผู้ก่อเหตุร้าย และหลักการของศาสนาอันดีงามที่ถูกบิดเบือน กำลังสร้างให้เกิดกระแสที่อาจเปลี่ยนแปลงความคิดความเชื่อของคนมลายูมุสลิมที่ไม่เห็นด้วยกับการก่อเหตุรุนแรง ที่จะลุกขึ้นมารวมพลังต่อต้านและไม่เห็นด้วยกับการก่อเหตุรุนแรงของพวกเขาต่อไป  การฆ่าฟันกันได้ไม่เว้นแม้แต่คนมุสลิมมลายูด้วยกันพี่น้องมุสลิมเราส่วนใหญ่ไม่มีใครหรอกที่จะเห็นดีด้วย  ใครก็ตามที่เข่นฆ่าประชาชนเหมือนผักปลา อัลเลาะห์จะเป็นผู้ตัดสินลงโทษเอง  อย่าว่าแต่เข้าสวรรค์เลยแม้แต่ประตูนรกก็จะไม่เปิดรับพวกเขา  อีกไม่นานหรอก  อามีน...  



          ซอเก๊าะ    นิรนาม

วันศุกร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2557

ถอดสลัก PerMAS กับการกำหนดใจตนเอง ผิดหลักการ ฝันที่เป็นไปไม่ได้



การขับเคลื่อนให้เกิดกระบวนการสร้างสันติภาพในพื้นที่ความขัดแย้งเช่นจังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทยซึ่งกำลังดำเนินอยู่ในหลายมิติในปัจจุบัน รวมถึงความพยายามเคลื่อนไหวทางการเมืองของปีกสนับสนุนทางการเมืองอย่างกลุ่ม PerMAS ที่ชี้นำชักจูงให้ประชาชนทั่วไปโดยเฉพาะพี่น้องมุสลิมให้เชื่อในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้    โดยกล่าวอ้างขั้นตอน “การกำหนดใจตนเอง” ผ่านการเสวนาสาธารณะ  โดยใช้เหตุความเป็นชาติพันธ์ ศาสนาที่แตกต่าง เพื่อเชื้อเชิญหรือนำไปสู่การเข้ามาแทรกแซงภายในขององค์กรระหว่างประเทศ ถึงวันนี้แม้ว่าจะมีความเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องทั้งภายในและนอกประเทศ แต่ผลของกลุ่มคนที่พยายามชักศึกเข้าบ้านเหล่านี้ ถึงวันนี้ไม่เพียงแต่จะหริบหรี่มิหน่ำซ้ำยังมีวี่แววว่าจะดับลง  เพราะในความเป็นจริงนอกจากไม่สามารถทำได้แล้ว ยังถูกบิดเบือนและผิดวิถีข้อตกลงระหว่างประเทศขององค์กรระดับโลกอย่างสหประชาชาติอย่างชัดเจน

ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น “ที่นี่มีคำตอบ”

ความพยายามจัดการเสวนา 200 เวทีอย่างที่ทุกท่านทราบโดยการสนับสนุนเงินทุนจากต่างประเทศนั้น  โดยหลักใหญ่ใจความแล้ว กลุ่มคนเหล่านั้นทราบดีว่าไม่มีทางเป็นไปได้ในการกำหนดใจตนเองตามมติสหประชาชาติซึ่งจะกล่าวต่อไป แต่ด้วยผลประโยชน์มหาศาลที่สร้างความอยู่ดีกินดีให้มวลสมาชิกที่อ้างว่าทำเพื่อประชาชนฟาตอนีกำลังทำให้เขาและเธอเหล่านั้นใช้โอกาสในการระดมเงินทุนมหาศาลเพื่อตนเองและพวกพ้องอย่างที่เราเห็นว่า สมาชิกของกลุ่ม PerMAS ทุกคนมีชีวิตที่หรูหราฟุ่มเฟือย โดยใช้ความทุกข์ยากของพี่น้องเป็นเครื่องแลกเปลี่ยนต่อรอง
ผมมีโอกาสได้ศึกษาผลงานวิจัยของท่านผู้รู้ท่านหนึ่ง  ซึ่งได้ทำผลงานวิจัยเกี่ยวกับมูลเหตุของการเกิดเหตุรุนแรงขึ้นในพื้นที่ จชต. และความพยายามของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงทั้งในส่วนของกองกำลังติดอาวุธและปีกสนับสนุนด้านการเมืองซึ่งในวันนี้ใช้ชื่อว่า PerMAS  ซึ่งได้กล่าวถึงภาพรวมของความพยายามนำเหตุร้าย (ที่พวกเขาก่อขึ้นเอง) มาเป็นปัจจัยชักจูงให้องค์กรระหว่างประเทศเข้ามาแทรกแซงเพื่อนำไปสู่การใช้กลไกของการกำหนดใจตนเองที่สหประชาชาติได้บัญญัติเป็นกฎหมายระหว่างประเทศให้กับประเทศที่เป็นภาคีต้องปฏิบัติ

สิทธิในการกำหนดเจตจำนงของตนเอง (right to self-determination)

อาจฟังไม่คุ้นเคยสำหรับผู้ที่ไม่เคยศึกษามาก่อน  แต่เป็นประเด็นหลักที่ผู้ก่อเหตุรุนแรงโดยเฉพาะกลุ่มที่เคลื่อนไหวทางการเมืองสนับสนุนการก่อเหตุซึ่งในที่นี้คือกลุ่ม PerMAS  นำมาใช้สร้างกระแสบิดเบือนด้วยคาดหวังว่าจะใช้กลไกกฎหมายระหว่างประเทศเข้ามาขับเคลื่อน แต่สิทธิในการกำหนดเจตจำนงของตนเอง
ตามที่บัญญัติไว้ในกฏหมายระหว่างประเทศ  โดยศาลยุติธรรมระหว่างประเทศที่ได้เคยมีคำพิพากษาให้สิทธิประชาชนในพื้นที่ขัดแย้งเช่น ติมอร์ตะวันออกสามารถกำหนดเจตจำนงตนเองได้ แต่ก็เป็นกรณีที่แตกต่างไปจากพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้โดยสิ้นเชิง เนื่องจากติมอร์ตะวันออกเป็นดินแดนอาณานิคมของโปรตุเกสที่ถูกครอบครองโดยอินโดนีเซีย ดังนั้นจึงมีสิทธิตามกฎหมายระหว่างประเทศที่จะเลือกว่าจะเป็นดินแดนปกครองตนเองภายใต้อินโดนีเซียต่อไป หรือจะแยกตัวเป็นรัฐเอกราช แต่ในขณะที่พื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นดินแดนภายใต้อธิปไตยของไทยตั้งแต่ในอดีตต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ประชาชนในพื้นที่จึงไม่มีสิทธิที่จะเลือกกำหนดเจตจำนงของตนเองเพื่อแยกออกเป็นรัฐอิสระและประชาคมระหว่างประเทศก็ไม่สามารถเข้ามาแทรกแซงอธิปไตยของไทยได้ 


นอกจากนั้น ไทยยังได้ทำถ้อยแถลงตีความในกฏหมายสิทธิมนุษยชนทุกฉบับที่ไทยได้เป็นภาคีไว้แล้วว่า สิทธิในการกำหนดเจตจำนงของตนเองนั้นไม่ให้ตีความอนุญาตหรือสนับสนุนการกระทำใดๆ ที่จะเป็นการแบ่งแยกหรือทำลายบูรณภาพแห่งดินแดน หรือเอกภาพทางการเมืองของรัฐเอกราชอธิปไตย ทั้งนี้ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงแต่บางส่วน จึงเป็นการเน้นย้ำให้เห็นชัดเจนว่าการแยกดินแดนตามยุทธศาสตร์ฝ่ายก่อความไม่สงบดังกล่าวไม่สามารถที่จะกระทำได้ตามหลักกฏหมายระหว่างประเทศในปัจจุบัน
น่าคิดว่า...แล้วคนกลุ่มนี้กำลังทำอะไรอยู่ ทั้งๆ ที่รู้ว่าผิดหลักการและเป็นไปไม่ได้  ผลประโยชน์หรืออุดมการณ์ ผมว่าผู้อ่านน่าจะคาดเดาได้ครับ

เงื่อนไขชาติพันธ์และศาสนา

ท่านผู้วิจัยได้หยิบยกเหตุผลถึงการใช้กรณีชาติพันธ์และศาสนามานำเสนอได้อย่างน่าฟังว่า ด้วยเงื่อนไขความไม่คำนึงถึงผลกระทบของความแตกต่างที่จะตามมาของเจ้าอาณานิคมที่เคยปกครองดินแดนต่างๆ ทำให้เกิดปัญหากับประชาชนในพื้นที่มากมาย แต่สำหรับพื้นที่ภาคใต้ของไทยมีความพยายามโดยกลุ่มแบ่งแยกดินแดนทั้งสองฝ่ายคือทหารและการเมือง ที่จะหยิบยกมาเป็นเงื่อนไขสำคัญโดยอ้างถึงอัตลักษณ์ความแตกต่าง ซ้ำร้ายยังใช้การข่มขู่เข่นฆ่าเพื่อให้ผู้ศรัทธาต่างศาสนาซึ่งในที่นี้คือประชาชนที่นับถือศาสนาพุทธให้ออกจากพื้นที่

ไม่มีตัวตน ไม่ประกาศความรับผิดชอบ

อีกประการที่แตกต่างกับกลุ่มก่อการร้ายทั่วโลกโดยสิ้นเชิงคือ การก่อการร้ายโดยทั่วไปมักมีวัตถุประสงค์ที่ประจักษ์ชัด และการประกาศความรับผิดชอบว่าเป็นผู้กระทำ เพื่อสื่อให้คู่ขัดแย้งและประชาคมโลกได้รับรู้ว่าเขาเหล่านั้นต้องการอย่างไร แต่สำหรับพื้นที่ภาคใต้ของไทย ยังไม่เคยมีองค์กรใดๆ ประกาศความรับผิดชอบ ยิ่งกว่านั้นยังโยนความผิดให้กับเจ้าหน้าที่รัฐว่าเป็นผู้กระทำ ด้วยเหตุนี้จึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ของคู่ขัดแย้งต่อรัฐ ความต้องการแยกตัวเป็นเอกราชจึงไม่ได้รับความชอบธรรมโดยหลักการ เช่นความขัดแย้งในภูมิภาคอื่นๆ ที่พื้นที่เหล่านี้มีขบวนการแบ่งแยกดินแดนอย่างเปิดเผยเป็นระยะเวลานานและมีความรุนแรงกว่าในขณะที่ปัญหาในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ยังไม่ปรากฏแม้แต่กลุ่มผู้นำที่รับผิดชอบในการเรียกร้องแยกตัวออกเป็นรัฐอิสระอย่างเปิดเผย
เป็นอีกมุมมองของผู้วิจัยที่มีความชัดเจน นำเสนอด้วยเหตุและผลที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าไม่จริง
ก่อเหตุหวังผลการทางการเมืองในอนาคต

เรื่องน่าเศร้าอีกประเด็นคือ การก่อเหตุร้ายจนทำให้มีผู้บาดเจ็บล้มตายมากมายทุกวันนี้ เกิดขึ้นเพราะความมักใหญ่ใฝ่สูงของบรรดาแกนนำและแนวร่วม ซึ่งพิจารณาอย่างไรก็ผิดหลักการ การแอบอ้างอุดมการณ์ ใช้หลักศาสนาและความแตกต่างทางอัตลักษณ์มาเป็นเงื่อนไข เพื่อใช้ประชาชนให้ลุกขึ้นมาต่อสู้ ขณะที่ตนเองและพวกพ้องเสวยสุขอย่างหน้าชื่นตาบาน ทำเหมือนกับว่าประชาชนโง่เขลาเบาปัญญาไม่รู้ในสิ่งที่พวกเขากำลังกระทำอยู่

ในบทสรุปของงานวิจัยได้กล่าวถึงความเป็นไปไม่ได้ทั้งมวลของการแบ่งแยกดินแดนซึ่งไม่สามารถนำมากล่าวได้ด้วยพื้นที่ที่มีน้อยนิด แต่ผมอยากสะท้อนให้สังคมเห็นถึงการนำเสนอบนหลักการอย่างเป็นขั้นตอนของท่านผู้วิจัยว่ามีเหตุผลสนับสนุนที่สอดคล้อง อย่างน้อยผมอยากให้ทุกท่านลองศึกษาดูเพื่อให้รู้เท่าทันกับกลุ่มผู้ไม่หวังดีเหล่านี้ อย่างน้อยก็จะได้ทราบว่าเกมส์ที่เขาเหล่านั้นกำลังเล่นโดยใช้ประชาชนเป็นตัวประกันสุดท้ายผลจะเป็นอย่างไร เดาได้ไม่ยากครับ


          ซอเก๊าะ  นิรนาม

วันพฤหัสบดีที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2557

ร่างทรง NGOs กับวาทกรรม “เพื่อสันติภาพ” หรือเพื่อ “Patani Merdeka”



         แล้วความพยายามในการขับเคลื่อนการสร้างสันติภาพในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยกลุ่มบุคคลกลุ่มหนึ่งที่อ้างตัวว่าทำเพื่อพี่น้องประชาชนโดยมีบทบาทบังหน้าในรูปของความพยายามเคลื่อนไหวทางการเมืองโดยใช้ชื่อว่า “สหพันธ์นิสิตนักศึกษานักเรียนและเยาวชนปาตานี” (PerMAS) และ “สำนักปาตานีรายาเพื่อสันติภาพและการพัฒนา”(Lempar) ก็ปรากฎชัดถึงเจตนาที่แท้จริงในวันที่โต๊ะพูดคุยสันติภาพระหว่างรัฐบาลไทยกับกลุ่มกบฎเฒ่า BRN ทำท่าจะพังครืน

          การนำเสนอด้วยบทความของนายตูแวดานียา ตูแวแมแง ว่าด้วยวาทกรรมเพื่อสันติภาพในวงการ NGOs ไทย ที่เผยแพร่ผ่านสื่อซึ่งเป็นกระบอกเสียงของขบวนการมาโดยต่อเนื่องอย่างเว็บไซต์ Deepsouthwatch.org หรือ ศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ ได้แสดงออกถึงแนวความคิดในการนำไปสู่ความแตกแยกภายในตามที่กล่าว แม้ว่าบทบาทของบุคคลและกลุ่มบุคคลนี้จะเกี่ยวพันกับปีกการก่อเหตุรุนแรงโดย BRN หรือโดยกลุ่มอื่นๆ ที่พยายามเข้ามามีเอี่ยวเพื่อแย่งชิงผลประโยชน์ภายในผ่านความทุกข์ยากของประชาชนก็ตาม แต่เสียงปฏิเสธอย่างแข็งขันว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อเหตุรุนแรงก็ยังปรากฎผ่านสื่อของตนเองและพวกพ้องโดยต่อเนื่อง

          การถูกเปิดโปงความเชื่อมโยงว่ามีความเกี่ยวข้องกับ BRN ของกลุ่มอดีตนักศึกษาที่ผันตัวเองมาเป็น NGOs เพื่อความอยู่ดีกินดีของตนกลุ่มนี้เริ่มเห็นภาพชัดเมื่อสถานีโทรทัศน์ช่องหนึ่งได้นำเสนอความเชื่อมโยงกับขบวนการอย่างปฏิเสธได้ยาก การมีสมาชิกในกลุ่ม PerMAS ร่วมอยู่ในกลุ่มก่อเหตุรุนแรงที่พยายามเข้าโจมตีฐานปฏิบัติการของนาวิกโยธินจนถูกวิสามัญตาย 16 ศพที่ผ่านมา ซึ่งสอดคล้องกับคลิ้ปวีดีโอของนักศึกษากลุ่มนี้นำโดยด้วยนาย ซูไฮมี ดูละสะ แกนนำอีกหนึ่งคนที่ถูกนำเสนอในเว็บไซต์ยูทูปที่สมาชิกคนที่เสียชีวิตนี้ได้ปลูกฝังเยาวชนให้เกลียดชังเจ้าหน้าที่รัฐโดยใช้โครงการอบรมจริยธรรมเยาวชนในโรงเรียนปอเนาะและตาดีกา ซึ่งมีเนื้อหาที่นักศึกษาเหล่านี้ไม่กล้าเถียงยังคงปรากฎให้เห็นด้วยการเข้าชมจำนวนไม่น้อย ได้สะท้อนให้เห็นถึงความไม้เห็นด้วยของประชาชนส่วนใหญ่ไม่เว้นแม้แต่พี่น้องมสุลิมที่รู้ผิดรู้ชอบ (ดูรายละเอียดตามลิ้ง) http://www.youtube.com/watch?v=Izw4H6-CILk

         สุดท้ายก็จบลงด้วยกฎหมู่โดยการประท้วงและขู่จะปิดสำนักข่าวที่นำเสนอ โดยไม่ได้ชี้แจงเรื่องที่กลุ่มของตนเข้าไปเกี่ยวพันกับโจรแต่อย่างใด 

         อย่างไรก็ดีการเปิดโปงครั้งนั้นได้ช่วยให้สังคมได้รับทราบพฤติกรรมของคนกลุ่มนี้มากขึ้น แต่ถามว่าพวกเขาได้สำเหนียกตนเองในการบ่อนทำลายสังคมหรือยัง แน่นอนว่า “ยัง”

         ความพยายามในการใช้วันที่ 4 ม.ค.57 ซึ่งเป็นวันสัญลักษณ์ของการเริ่มไฟใต้ระลอกใหม่ได้แก่การปล้นปืนที่กองพันพัฒนาที่ 4 และเป็นวิธีการเดียวกับขบวนการก่อเหตุรุนแรงที่ใช้การโฆษณาชวนเชื่อเพื่อปลุกเร้ามวลชน ซึ่งมีการปฏิบัติควบคู่กับกลุ่ม BRN อย่างสอดประสานและแสดงออกถึงความเป็นพวกพ้อง 

         การใช้สื่อนำเสนอความคิดเห็นเป็นเสรีภาพตามระบอบประชาธิปไตยไม่ใช่สิ่งผิด แต่การให้ข้อมูลที่ถูกต้องก็เป็นสิ่งที่ต้องกระทำด้วย

         วาทกรรม “เพื่อสันติภาพ” ในวงการ NGOไทย” ที่กล่าวอ้างอย่างเลื่อนลอยโดยแกนนำกลุ่ม จึงมิใช่เป็นของ NGOS ทั้งหมด แต่เป็นเพียงของกลุ่มคนที่มีเจตนาไม่หวังดี ใช้คำว่าสันติภาพ เพื่อนำไปสู่การแบ่งแยกดินแดน โดยใช้คำสวยหูรว่าการกำหนดใจตนเอง ซึ่งได้มีการเตรียมการโดยให้ข่าวสารที่คลาดเคลื่อนกับประชาชนผ่านเวทีเสวนาสาธารณะมาแล้วระยะหนึ่ง ซึ่งมีเฉพาะพี่น้องมุสลิม พร้อมด้วยการสอดแทรกความเชื่อถือศรัทธาทางศาสนาเพื่อแบ่งกลุ่มแบ่งพวก แล้วก็บอกกับสังคมโดยเฉพาะอย่างยิ่งการป่าวประกาศให้ประเทศมุสลิมที่ไม่ได้รับรู้ข้อเท็จจริงเชื่อตามในคำพูดของตน 

          แล้วคนไทยที่นับถือศาสนาพุทธที่อยู่อาศัยมาตั้งแต่ก่อนที่นักศึกษาเหล่านี้จะเกิด ซึ่งเป็นคนส่วนน้อยและถูกบีบบังคับให้อพยพออกนอกพื้นที่ด้วยการข่มขู่และฆ่ารายวัยโดยไม่มีสิทธิโต้เถียงล่ะ เขาเหล่านั้นได้ถูกสอบถามถึงความต้องการกำหนดใจตนเองหรือยัง การกล่าวอ้างนี้จึงเป็นเพียงการพูดเอาแต่ได้

         “ผลประโยชน์” กับ “เสรีภาพ” ของประชาชนในพื้นที่นี้จึงยังคงเป็นเรื่องที่ไม่สามารถนำมากล่าวรวมกันได้ในวันที่ความเดือดร้อนของประชาชนจากการก่อกรรมทำเข็ญของขบวนการยังมีอยู่ แต่หากวันใดที่ขบวนการหยุดสร้างความเดือดร้อน หยุดฆ่าประชาชน หยุดเกี่ยวพันกับผลประโยชน์ทั้งจากธุรกิจผิดฎหมาย และการต้องการเป็นใหญ่ในอนาคตเพื่อกระทำในสิ่งที่อ้างว่าทำตามความต้องการของประชาชนได้ การเคลื่อนไหวเพื่อกำหนดใจตนเองก็น่าจะนำกลับมาใช้ได้ แต่จากที่เห็น..ความเลวร้ายทั้งปวงยังเกิดขึ้นโดยขบวนการ พร้อมๆ กับการไม่เคยออกมาประกาศความรับผิดชอบ แถมยังโยนบาปให้คนอื่นอีก อย่างนี้ใครจะไปเชื่อด้วยความจริงใจ..นอกเหนือจากกระบอกปืนที่คอยจี้ประชาชนไว้เพื่อให้เชื่อด้วยความกลัว กับการบิดเบือนอย่างน่าละอายทั้งๆ ที่รู้ 

           แล้วคำว่าสันติภาพที่แท้จริงมันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร เมื่อคนกลุ่มนี้ต้องการมากกว่าสันติภาพอย่างที่ทุกฝ่ายรู้ แต่มันจะเกิดขึ้นได้ในยุคที่ประชาชนเลือกรับข่าวสารที่แท้จริงจากหลายๆ ทางได้มากกว่าการปลิ้นปล้อนมดเท็จ ประชาชนในพื้นที่ไม่ได้โง่อย่างที่คิดหรอกนะ โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว


บูเก๊ะ บือซา