วันอาทิตย์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ดร.วันกาเดร์ เจ๊ะมัน ชี้ปัญหาภาคใต้กับผลประโยชน์ที่ไม่ลงตัว

        การพูดคุยสันติภาพระหว่างสภาความมั่นคงแห่งชาติหรือ สมช.กับผู้แทนของฝ่ายขบวนการที่กำลังมีการเรียกร้องความสนใจ เนื่องจากความวุ่นวายทางการเมืองภายในกรุงเทพมหานครที่ทำให้การพูดคุยสันติภาพมีอันต้องหยุดชะงักโดยฝ่ายแกนนำกลุ่มขบวนการหลักคือ ฮาซัน ตอยิบ ถึงกับต้องงัดลูกไม้เก่าโดยการแถลงผ่านยูทูปว่าเป็นเพราะความไม่พร้อมของรัฐบาลไทย ที่ไม่บริหารจัดการความไม่สงบเรียบร้อยภายในประเทศได้ พร้อมๆกับการการสะกิดฝ่ายความมั่นคงด้วยการระเบิดพื้นที่เศรษฐกิจคือ อ.สะเดา จ.สงขลา ซึ่งส่งผลให้ธุรกิจการค้าการลงทุนและการท่องเที่ยวต้องดิ่งลงเหวในหลายวันที่ผ่านมา
        การเข้าพบแม่ทัพภาคที่ ๔ ของ ดร.วันกาเดร์ เจ๊ะมัน มีหลายประเด็นที่น่าสนใจที่ใครหลายคนไม่เคยรู้ แต่ผมอยากนำเสนอให้สังคมได้รับรู้ข้อเท็จจริงของ เรื่องร้ายๆ ในภาคใต้บ้านเรา
            “บทบาทของมาเลเซียในการพูดคุย ถือว่าไม่รู้จริง ไม่รู้ว่าใครมีบทบาทจริงในพื้นที่ เราคิดผิดหากคุยแบบนี้ต่อให้ ๑๐ ปี ก็ไม่จบ” นี่เป็นคำพูดของ อดีตแกนนำต่อต้านรัฐบาลไทยแบบรู้จริง ด้วยบทบาทการเข้ามาเป็นผู้อำนวยความสะดวกของมาเลเซียซึ่งต้องการสร้างภาพต่อประชาคมอาเซียนในฐานะผู้ไกล่เกลี่ยความขัดแย้งในภูมิภาคซึ่งหากมีเจตนาด้วยความบริสุทธิ์ในแล้วก็น่าจะเป็นที่ได้รับการยอมรับแต่ในความเป็นจริงที่ทุกฝ่ายรับรู้ในวันนี้กับไม่เป็นอย่างที่คิด เรื่องนี้ต้องหาคำตอบ ดร.วันกาเดร์ฯ กล่าวเพิ่มเติม
      ถามว่าอุดมการณ์แบ่งแยกดินแดนการเรียกร้องเอกราชฟาตอนียังมีอยู่หรือไม่ ตอบได้เลยว่าสำหรับคนที่อายุมากกว่า ๕๐ ปีย่อมมีอยู่บ้างเนื่องจากความรักชาติรักแผ่นดินแต่ปัจจุบันก็ลดบทบาทตัวเอง การก่อเหตุในสมัยนี้ของคนในองค์กรที่มีอุดมการณ์น้อย ไม่ได้มุ่งหวังเรื่องการแบ่งแยกดินแดนหรือความเป็นเอกราช แต่ขึ้นอยู่กับเงินที่ได้จากการก่อเหตุมากกว่า ความแตกแยกในองค์กรนำ ผลประโยชน์ที่ขัดกันและความมุ่งหวังที่จะเป็นผู้นำ เมื่อการแบ่งแยกดินแดนประสบความสำเร็จ เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้หลายกลุ่มชิงการเป็นผู้นำอยู่ในขณะนี้ ที่เห็นได้ชัดคือกลุ่ม BRNทำให้กลุ่มที่ไม่ได้รับการยอมรับต้องแยกตัวออกจากองค์กรไปก่อเหตุรุนแรงเพื่อสร้างผลงานให้เกิดการยอมรับในกลุ่มขบวนการแบ่งแยกดินแดน สุดท้ายผลกรรมก็ตกไปอยู่ที่ประชาชนตาดำๆ ซึ่งบางครั้งอาจทำไปเพราะความแค้นส่วนตัวหรือเหตุผลส่วนตัว แล้วก็เหมารวมว่าทำเพื่ออุดมการณ์ในที่สุด
นี่เป็นเรื่องจริงที่น่าเศร้าสำหรับคนในพื้นที่
           นอกจากนี้ ดร.วันกาเดร์ฯ ยังกล่าวว่า การพูดคุยสันติภาพที่ผ่านมา ๓ ครั้ง ถือว่าฝ่ายไทยคุยผิดตัว เพราะฮัสซันตอยิบ ไม่มีบทบาทนำและไม่สามารถควบคุมกองกำลังติดอาวุธในพื้นที่ได้ ประกอบกับความไม่เห็นด้วยของกลุ่มอื่นๆ ที่ไม่ยอมรับในความเป็นผู้นำขบวนการรวมทั้งการชิงนำเสนอผ่านสื่อคอมพิวเตอร์หลายครั้งในแบบที่คู่ขัดแย้งในหลายพื้นที่ทั่วโลกไม่เคยทำ ที่ทำให้เครดิตของฮัสซันฯ เริ่มลดน้อยลงบวกรวมกับการกีดกันไม่ให้กลุ่มอื่นเข้ามาร่วมโดยเฉพาะกลุ่ม PULO โดยนายกัสตูรี มะห์โกตา ซึ่งมีแนวทางในการแก้ไขปัญหาโดนสันติวิธีและขัดกับแนวทางของ BRN ทำให้ยังไม่เกิดการยอมรับจนถึงปัจจุบัน การพูดคุยกับบีอาร์เอ็นรุ่นใหม่และดึงมาให้ครบทุกกลุ่มจึงเป็นแนวทางที่ควรทำ
              จะเห็นว่าขนาด ดร.วันกาเดร์ เจ๊ะมัน อดีตเคยเป็นถึงประธานกลุ่มขบวนการ PULOคงไม่ต้องพูดถึงอุดมการณ์การต่อต้านรัฐไทย การันตีด้วยตำแหน่งประธานขบวนการ PULO ในเรื่องการต่อต้านรัฐไทยย่อมเป็นที่หนึ่งอยู่แล้ว แต่ในปัจจุบัน ท่านค้นพบว่าความคิดในอดีตที่มุ่งในเรื่องการก่อเหตุรุนแรงไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ดี เป็นความคิดที่ผิด และเห็นว่าแนวทางสันติวิธีเป็นหนทางที่ดีที่สุด ท่านผู้อ่านก็คิดและเลือกหนทางของตัวเองก็แล้วกัน อย่าให้เหมือน ดร.วันกาเดร์ฯ ซึ่งคิดผิดมาค่อนชีวิตของตัวเอง...แล้วจะเสียใจเมื่อแก่....!
บูเก๊ะ บือซา.....

วันอาทิตย์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2556

PerMAS วงจรอุบาทว์


1 Bicara Patani Seminar stage Per  M…A…S….
        ชื่อนั้นสำคัญไฉน   น่าแปลกที่คำแต่ละคำนั้นมีความหมาย เวทีเสวนา Bicara Patani ที่ตั้งเป้าไว้ให้ถึง ๒๐๐ เวที  แต่ละเวทีมีเบื้องลึก เบื้องหลัง ที่ปกปิดไว้เป็นความลับ ยากที่กลุ่มบุคคลที่ได้รับผลประโยชน์จะยอมปริปากพูดออกมา หากจะมองให้ลึกแล้วจะรู้ว่า ในมุมมองของกลุ่ม สหพันธ์นิสิตนักศึกษา นักเรียน และเยาวชนปาตานี หรือ PerMAS สร้างภาพลักษณ์ของตนเองให้เป็นที่ยอมรับ มีความน่าเชื่อถือโดยมีเป้าหมายในการเคลื่อนไหวหลัก ๆ คือ
เน้นการสร้างภาพให้ประชาชนในปาตานีมีเอกภาพเป็นหนึ่งเดียว  (Satu Patani)  เพื่อปูทางไปสู่การการกำหนดใจตนเอง (Right to Self Determination : RSD) เพื่อการมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อมประสานกับองค์กรต่าง ๆ
          แค่อ่านก็จะรู้ว่า เป้าหมายในการเคลื่อนไหวนั้น  มีมิติเร้นลับโดยนัย ที่มุ่งไปสู่ความแตกแยกทางความคิด  “ คิดเฉพาะตนเอง   ประชาชนทุกวันนี้ ส่วนใหญ่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ต้องการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข โดยไม่เลือกเชื้อชาติ ศาสนา ยกเว้นผู้เห็นต่างเท่านั้น ที่พยายามจะสร้างความแตกแยกทางความคิด หลอกล่อ ชักจูง สร้างความเป็นพวกเดียวกัน    ก่อให้เกิดความหวาดระแวงต่อผู้คนรอบข้าง จากนั้นก็แยกตัวออกจากสังคม     และบ่มเพาะความเกลียดชัง เพื่อให้ง่ายต่อการถูกชักจูง ชักนำ ให้เห็นผิดเป็นชอบ แม้กระทั่งใช้ให้ไปตายแทน และแสดงออกด้วยฆ่าอย่างโหดเหี้ยม การลอบวางระบิด และลอบวางเพลิงทำลายสาธารณประโยชน์ ทำให้พี่น้องทั้งชาวไทยพุทธ และมุสลิมที่อยู่ในพื้นที่ได้รับความเดือนร้อน  และเป็นความเดือนร้อนแบบเป็นลูกโซ่  ผู้นำครอบครัวตาย 1 คน สร้างความเดือนร้อนให้กับ พ่อ แม่ ภรรยา และบุตร รวมทั้งผู้ที่ต้องอุปการะดูแลทั้งครอบครัว

               นี่เป็นวาทกรรมที่ต้องนำมาไตร่ตรอง
                  “ การเคลื่อนไหวอันใดจะไร้ค่าหากมันต้องแลกด้วยชีวิตคน   พวกคุณจะ เป็นเพียงร่างทรงของความรุนแรงและใช้เทคนิควิธีของอำนาจไม่ต่างกัน  ภาพของนักเคลื่อนไหวหัวก้าวหน้าที่น่าชื่นชมของปาตานีที่มีมาตั้งแต่ประวัติศาสตร์จะกลายร่างเป็นนักชาตินิยมปาตานีฝ่ายขวาที่นิยมความรุนแรงและไม่เท่าทันโลกที่กำลังหมุนไปข้างหน้า สุดท้ายก็จะมีแต่ความสูญเสีย ไม่มีชัยชนะบนซากศพ ไม่มีใครชนะ มีเพียงความตายของผู้บริสุทธิ์

             นอกจากนี้แล้ว การจัดเวทีเสวนาแต่ละครั้ง    ต้องเสียค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมาก ทั้งการจัดสถานที่ ค่าวิทยากรบรรยาย ค่าอาหาร/สถานที่ ผู้เข้าร่วมเสวนา และการจัดสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ ล้วนแล้วแต่ใช้เงินให้ทั้งสิ้น   ถามว่า  PerMAS   ได้เงินอุดหนุนมากจากไหน  
             สรุปแล้ว แค่รู้จักวิธีการเขียนโครงการ บิดเบือนข้อเท็จจริง สร้างภาพให้เห็นเป็นความมีอุดมการณ์ เสนอให้กลุ่มศาสนนิยมทั้งหลาย หลอกล่อด้วยร้อยแปดกลยุทธ์  เพื่อให้ได้มาซึ่งการสนับสนุน ล้วนเป็นการทำธุรกิจที่แสวงหาผลกำไรอีกรูปแบบหนึ่งที่ไม่ต้องลงทุน  เพียงแต่ใช้สติปัญญาของตนเองที่มีอยู่ในทางที่ผิด แสวงประโยชน์บนความเดือนร้อน ความทุกทรมานของผู้อื่น

            “ ปัญญาชนทั้งหลาย  อย่าหลงเป็นเหยื่อเข้าร่วมเวทีเสวนา Bicara Patani ” 
เพราะ PerMAS จะถือโอกาส ถ่ายรูป ออกสื่อ เสนอโครงการ รับเงิน จัดเสวนา ปั่นหัว บ่มเพาะความเกลียดชัง และฆ่าทั้งพวกข้าและพวกเขา เป็นวงจรอุบาทว์ที่เปื้อนเลือดอย่างไม่มีที่สิ้นสุด  โดยปีศาจร้ายตนนี้  ซึ่งมีชื่อของกลุ่มและนัยของกลุ่มที่ซ่อนเร้น ดังนี้
     1 Bicara Batani Sminar stage  Per  Money And Saparation
               ( การจัดเวทีเสวนา ๑ ครั้ง   เพื่อ  เงิน  และ ความแตกแยก )


                                                                                                        “ อีแก บาวา ”

วันศุกร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ซัยฏอนป่วนใต้ ฆ่าชาวบ้านถี่ยิบบีบรัฐรับ 5 ข้อเสนอ ความพยายามที่ไร้ยางอาย


         การพูดคุยสันติภาพระหว่างสภาความมั่นคงแห่งชาติหรือ สมช. กับผู้แทนของฝ่ายขบวนการที่กำลังมีการรวบรวมตัวแทนจากหลายกลุ่มไม่ว่าจะเป็นกลุ่มนำอย่าง BRN หรือกลุ่มที่กำลังเข้าร่วมพูดคุยอย่าง PULO และ BIPP ที่มีอันต้องสะดุดกึกลงภายหลังจากที่มีการกำหนดวันพูดคุยครั้งที่ 4 ในช่วงปลายเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา ด้วยเหตุผลหลายกรณี ทั้งด้วยความไม่พร้อมของฝ่ายขบวนการที่ยังมีความเห็นขัดแย้งกันเองและความต้องการที่จะเข้ามามีส่วนร่วมทั้งของบุคคลและกลุ่มต่างๆ ที่พยายามยกระดับตนเองให้มีบทบาทในการพูดคุยสันติภาพ ด้วยคาดหวังให้เกิดการยอมรับหากมีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในพื้นที่ภาคใต้ของไทยตามที่ขบวนการฝันไว้ ทำให้เกิดความไม่ลงตัวจนไม่สามารถกำหนดจุดยืนของขบวนการได้ นั้นเป็นเหตุผลหนึ่ง

          อีกเหตุผลคงหนีไม่พ้นความวุ่ยวายทางการเมืองภายในกรุงเทพมหานครซึ่งเปรียบเหมือนศูนย์รวมอำนาจของรัฐบาลไทยทำให้คณะพูดคุยของฝ่ายไทยซึ่งประกอบกันขึ้นจากหลายส่วนงานจำเป็นต้องสะสางเรื่องวุ่นวายให้จบลงเสียก่อนก็อาจเป็นมูลเหตุอีกประการหนึ่ง

          แต่อีกประเด็นหนึ่งที่สำคัญและน่าจะเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้การพูดคุยสันติภาพของสองฝ่ายต้องเกิดอาการชะงักงันหรืออาจถึงมีอันต้องพังพาบลงคือ ข้อเสนอสุดโต่ง 5 ข้อของฝ่ายขบวนการที่ยากต่อการยอมรับเพราะหมิ่นแหม่ต่อความมั่นคงอย่างยากที่จะกล่าว และเป็นที่รู้ๆ กันว่าข้อเสนอทั้ง 5 ข้อที่หลับหูหลับตาเสนอแบบไม่ต้องการให้ได้รับการยอมรับนั้น ฝ่ายขบวนการรู้ดีอยู่แล้วว่า ถึงอย่างไรก็คงไม่ได้รับการตอบรับจากรัฐบาลไทย จึงอาศัยเป็นความชอบธรรมที่จะกล่าวหาว่า รัฐบาลไทยไม่มีความจริงใจที่จะใช้แนวทางสันติ ซึ่งก็เป็นไปตามคาดว่าฝ่ายรัฐบาลไทยก็เงียบไปจริงๆ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดตามที่ยกตัวอย่างข้างต้น

          เลยเข้าทางขบวนการที่จะใช้วิธีสร้างความรุนแรง ลอบสังหารทั้งเจ้าหน้าที่และประชาชนผู้บริสุทธิ์แบบไม่เลือกเป้าหมายเพื่อยกระดับเหตุการณ์ไปสู่สังคมโลกต่อไป

          แต่ในช่วงประมาณสองสัปดาห์ที่ผ่านมาเป้าหมายอ่อนแอโดยเฉพาะไทยพุทธกลับถูกลอบทำร้ายอย่างต่อเนื่อง ทั้งชาวบ้านที่รวมกลุ่มกันไปหาปูเปรี้ยวที่โดนถล่มยิงเสียชีวิตไป 4 รายที่ปัตตานี ชาวบ้านที่กำลังหาของป่าถูกซุ่มยิงบาดเจ็บไป 7 ราย สองสามีภรรยาวัยชราซ้อนท้ายจักรยานยนต์ถูกคนร้ายยิงจนเสียชีวิตทั้งคู่ขณะกำลังกลับจากกรีดยางที่สุคิริน นราธิวาส หรือล่าสุดคนส่งขนมปังก็ถูกประกบยิงขณะกำลังส่งของที่เมาะมาวี ปัตตานี เสียชีวิตไปอีกราย ยังไม่รวมพี่น้องมุสลิมที่โดนด้วยเช่นกันถึง 3 รายซ้อนแม้แต่เด็กอายุเพียง 2 ขวบก็พลอยรับเคราะห์ได้รับบาดเจ็บจากการกระทำอย่างไร้ซึ่งจิตสำนึกของบรรดาโจรที่กล้าเรียกตัวเองว่านักรบไปด้วย

ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าพี่น้องมุสลิมที่โดนลอบสังหารล้วนเป็นกำนันผู้ใหญ่บ้านที่ชนวนเหตุสังหารอาจเกิดจากถูกตามเช็คบิลหลังการเลือกตั้งขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เป็นความขัดแย้งทางการเมืองที่เป็นวังวนอุบาทว์ขัดแย้งกันเอง และไม่เกี่ยวกับเหตุก่อความไม่สงบ และเด็ก 2 ขวบนี่ก็คงไม่ได้เกี่ยวข้องด้วยแน่นอน

การลอบทำร้ายผู้บริสุทธิ์อย่างถี่ยิบครั้งนี้หนักหนาจนหลายฝ่ายจับตามองเห็นถึงความโหดร้ายและไร้มนุษยธรรมของสมาชิก BRN ว่า ทำเกินกว่าที่จะกล่าวอ้างว่าต่อสู้เพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้กับพี่น้องมุสลิม รวมทั้งฝ่ายที่ขับเคลื่อนงานมวลชนและการเมืองของขบวนการก็กำลังถูกสมาชิกติดอาวุธที่ไม่สามารถควบคุมได้  ก่อเหตุสะเปะสะปะทำให้เสียมวลชน งานนี้นัยว่ากลุ่มขบวนการเสียรังวัดด้านมวลชนไปเยอะ

ขณะที่ชาวไทยพุทธที่เรียกตัวเองว่า “เครือข่ายชาวไทยพุทธสนับสนุนกระบวนการสันติภาพจังหวัดชายแดนภาคใต้" ได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ทุกฝ่ายยุติการใช้ความรุนแรง และเรียกร้องให้ BRN รับข้อเสนอของรัฐบาลไทยที่จะไม่ทำร้ายผู้บริสุทธิ์และควบคุมสมาชิกของตนไม่ให้ก่อเหตุทำร้ายประชาชนอีกต่อไป ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าเสียงนี้ต้องไปถึงองค์กรสิทธิมนุษยชนซึ่งคอยถือหางสนับสนุนขบวนการและแนวร่วมอยู่ด้วย อาการ “เถียงไม่ออก” จึงเกิดขึ้นกับองค์กรเหล่านี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และนี่จะทำให้โอกาสในการได้รับเงินสนับสนุนจากการบิดเบือนสถานการณ์ในภาคใต้ร่วมกับขบวนการต้องลดน้อยลงหรืออาจพาลไม่ได้รับเลย เดือดร้อนซิทีนี้
วิชามารแบบเก่าๆ จึงถูกงัดออกมาใช้แบบหน้าด้านๆ อีกครั้ง

เริ่มด้วยเว็บไซต์ patanipost.net ของ PULO กลุ่มนายซาซูดิน คาน ได้ลงข้อความกรณีคนไทยพุทธถูกยิงได้รับบาดเจ็บ 7 ราย ขณะเดินทางกลับจากการหาของป่าที่ จ.นราธิวาส ว่าเนื่องจากรัฐบาลไทยใช้คนหาของป่าเป็นสายสืบให้อยู่เสมอเพื่อหาสถานที่พักพิงของนักต่อสู้ปาตานี และเหตุการณ์ครั้งนี้พบว่ามีเจ้าหน้าที่ร่วมไปกับกลุ่มชาวบ้านด้วยโดยระบุว่าการก่อเหตุต่อนักล่าอาณานิคมสยามจะดำเนินต่อไป ไม่มีสัญญาณบ่งบอกว่าจะเกิดความสงบสุข ขณะที่เว็บเพจ Jihad pattani merdeka islamku ซึ่งเพิ่งจะเริ่มเปิดใช้เมื่อไม่นานมานี้และเป็นกระบอกเสียงของโจรเช่นเดียวกันระบุว่า เหตุยิงประชาชนมุสลิมในพื้นที่ อ.สายบุรี, อ.ยะรัง จ.ปัตตานี และ  อ.รามัน จ.ยะลา ทำให้มีผู้เสียชีวิต 3 คน และ เด็กอายุ 2 ขวบบาดเจ็บด้วยนั้นเป็นนโยบายฆ่าชาวมลายูของนักล่าอาณานิคมสยามที่มีอย่างต่อเนื่อง

คงไม่ต้องอธิบายเพิ่มเติมว่าบิดเบือนอย่างไรนะครับ เพราะได้ให้รายละเอียดและเบื้องลึกของเหตุการณ์ไว้ข้างบนแล้ว

การบิดเบือนข้างต้น โดยเฉพาะการนำเสนอของกลุ่มนายซาซูดิน คาน ซึ่งเป็นรู้กันว่าเป็นกลุ่มที่ไม่ยอมรับแนวทางการใช้สันติวิธีหรือการพูดคุย ขณะเดียวกันก็เป็นกลุ่มที่ไม่มีบทบาทในการก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่ภาคใต้มากนัก แต่กลับแสดงบทบาทเหมือนกับว่ากลุ่มของตนมีศักยภาพที่จะกำหนดความเป็นไปของสถานการณ์ในพื้นที่ได้การกระทำเยี่ยงนี้เห็นได้ชัดว่ากำลังพยายามยกระดับให้กลุ่มของตนมีความสำคัญขึ้นมาเพื่อหวังผลทางใดทางหนึ่งซึ่งในภาวะที่ความขัดแย้งภายในของขบวนการที่กำลังรุนแรงเหมือนกระแสน้ำที่เชี่ยวกรากแล้ว การบิดเบือนเข้าข้างตัวเองโดยหวังผลทั้งขึ้นทั้งล่องแบบนี้ ในระดับของผู้ที่เรียกตัวเองว่าเป็นผู้นำแล้ว “นับว่าเป็นความพยายามที่ไร้ยางอายโดยแท้”


          ซอเก๊าะ  นิรนาม

วันจันทร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ป้ายผ้ากับวาทกรรม "เอกราช" หรือ "สันติภาพ" อีกก้าวหนึ่งของเกมโกง


แล้ววงรอบของการป่วนใต้ของ BRN ที่มาควบคู่กับการพูดคุยเพื่อสันติภาพก็กลับเข้าสู่วงจรแบบเดิมๆ อีกครั้ง ตั้งแต่เริ่มมีการพูดคุยสันติภาพรอบแรกเมื่อเดือน ก.พ. ต้นปีที่ผ่านมา การก่อเหตุเพื่อกดดันรัฐบาลไทย การใส่ร้ายป้ายสี การช่วงชิงสื่อทั้งสื่อมวลชนในประเทศและนอกประเทศ ไม่เว้นแม้แต่ลื่อทางเลือกอย่างยูทูปยังถูกฝ่ายขบวนการนำมาใช้ทั้งบิดเบือนและชี้นำเพื่อสร้างความได้เปรียบต่อรัฐบาลไทยอย่างต่อเนื่อง หรือแม้กระทั่งสื่อธรรมดาๆ เช่น ป้ายผ้าและการพ่นสีสเปรย์บนท้องถนนก็ยังถูกนำออกมาใช้ และในแต่ละครั้งก็สร้างแรงกระเพื่อมต่อรัฐบาลไทยได้ไม่น้อย แต่ความพยายามสร้างแรงกระเพื่อมในครั้งนี้หากสังเกตุดีๆ จะพบว่าไม่ธรรมดา เพราะเป็นความพยายามที่มีนัยแอบแฝงที่บ่งบอกถึงแนวความคิดและความต้องการของผู้บงการใช้ยุทธการป้ายผ้าครั้งนี้ได้

ด้วยการสื่อความหมายโดยใช้ภาษามลายูอักษรรูมี แปลว่า "สมเพชในศักดิ์ศรีแห่งเชื้อชาติ สยามตอบแทนเชื้อชาติปาตานี เปลี่ยนจากคำว่าเอกราชสู่คำว่าสันติภาพ ภายใต้การยึดครองเหมือนเดิมแท้จริง" หรือ “บ้านตนเองยังวุ่นวายไม่เลิก แล้วจะมาปกครองได้อย่างไร”

การใช้ถ้อยคำในลักษณะออกลูกอ้อนต่อชาวปาตานีนั้น มุมหนึ่งเหมือนจะเรียกร้องให้ลุกขึ้นสู้ แต่อีกมุมมันคือการ “ยอมรับ” ยอมโอนอ่อนผ่อนตาม ยอมที่จะลดระดับจากการเรียกร้องเอกราชไปสู่การรวมกันสร้างสันติภาพ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริงก็นับว่าเป็นบรรยากาศที่ดีต่อการพูดคุยไม่น้อย แต่จะเป็นเช่นนั้นจริงหรือ นี่เป็นเพียงการคาดเดา

แต่จากข่าวที่กระเส็นกระสายออกมาว่าผู้บงการครั้งนี้คือนายอับดุลกาลิม กาลิด และนายมะสุกรี ฮารี ซึ่งทั้งสองอยู่ในคณะพูดคุยสันติภาพฝ่ายขบวนการซึ่งมีประวัติเกี่ยวข้องกับการก่อเหตุในพื้นที่มากมาย โดยเฉพาะรายหลังมีดีกรีเป็นบุตรของประธานคณะกรรมการอิสลามยะลา ซึ่งถูกจับกุมหลังเกี่ยวข้องกับการก่อเหตุรุนแรง ภายหลังได้รับการประกันตัว แต่ที่สุดก็หลบหนีไปอยู่ฝั่งมาเลเซียเมื่อปี 50 และความสอดคล้องอีกประการที่ชี้ชัดได้ว่าทั้งสองเป็นผู้สั่งการคือ ข้อความในป้ายผ้าเป็นคำเดียวกันกับที่นายฮาซัน ตอยิบ อดีตหัวหน้าคณะพูดคุยของ BRN ซึ่งโพสผ่านเว็บเพจในห้วงเดียวกัน

และในเมื่อทั้งสองอยู่ในคณะพูดคุยสันติภาพ คำถามคือ “ทำเพื่ออะไร” และถ้าคำตอบคือ เป็นเรื่องปกติของการไม่มีความจริงใจที่จะใช้แนวทางสันติโดยการพูดคุยของฝ่ายขบวนการแล้ว การยังไม่มีสัญญาณตอบรับของรัฐบาลไทยต่อข้อเสนอสุดป่วน 5 ข้อที่ยากจะรับได้น่าจะเป็นสาเหตุหลัก

ข้างฝ่ายมาเลเซียที่แสดงบทบาทผู้อำนวยความสะดวกก็ไม่ได้กระตือรือร้นที่จะกำหนดวันพูดคุยในครั้งต่อไปหลังเจอลูกเลื่อนไปเมื่อ 21 พ.ย.56 ที่ผ่านมา นัยว่ามาเลเซียไม่มีอะไรจะเสียกับเหตุการณ์ในภาคใต้ของไทย แต่กับจะได้ประโยชน์เสียอีกที่ปล่อยให้ไทยต้องแก้ปัญหาในบ้านตัวเองจนไม่มีเวลาพัฒนาประเทศเท่าที่ควรจน GDP ร่วงกราวรูด ในขณะที่มาเลเซียมีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอยู่ในอันดับต้นๆ ของเอเซีย ส่งผลให้ขบวนการต้องใช้ลูกไม้เรียกร้องความสนใจแบบเดิมๆ อีกครั้ง นี่ยังไม่นับรวมถึงการก่อเหตุลอบสังหารทั้งเจ้าหน้าที่และประชาชนอย่างถี่ยิบในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา

แต่หากพิจารณาถึงจุดยืนหลักของขบวนการคือการต้องการเอกราชแล้ว การออกมาใช้สื่อในเชิงตัดพ้อ ครั้งนี้อาจไม่ได้เกิดจากขบวนการฝ่ายเดียว ประเทศที่อ้างว่าจะช่วยเหลือไกล่เกลี่ยน่าจะมีส่วนรู้เห็นด้วยเหตุผลข้างต้น ซึ่งเป็นที่น่ากังขาอยู่ว่าเจตนาที่แท้จริงของมาเลเซียต่อเหตุการณ์ในประเทศไทยจะเป็นไปในทางใดแน่ 

ประกอบกับสถานการณ์ความยุ่งเหยิงทางการเมืองของไทยที่สื่อต่างๆ ให้ความสนใจรายงานสดกันนาที ต่อนาที ทำให้ความพยายามสร้างภาพความรุนแรงโหดร้าย การละเมิดสิทธิมนุษยชน สร้างความแตกแยก ฆ่าคนเหมือนผักปลาเพื่อหวังให้ประชาคมโลกรับรู้กลับไม่ถูกนำเสนอโดยสื่อ ทำให้เงินที่ลงทุนไปในการก่อเหตุเสียเปล่า ซึ่งในมุมมองของการก่อการร้ายเพื่อสร้างภาพนั้นถือว่าไม่คุ้มค่า แต่เมื่อสถานการณ์การเมืองเริ่มส่อเค้าเบาบางลง ขบวนการจึงใช้โอกาสนี้สร้างกระแสเพื่อช่วงชิงสื่อให้หันกลับมาสนใจอีกครั้ง ซึ่งก็นับว่าได้ผล

อย่างไรก็ตามหลายต่อหลายครั้งที่กลยุทธนี้ถูกนำมากลับใช้ ไม่ว่าจะมีสิ่งชี้นำตามสถานการณ์ในแต่ละช่วงเวลาว่าต้องการสื่อไปถึงใครด้วยเรื่องใดก็ตาม เรื่องหนึ่งที่แน่นอนเสมอคือ การใช้สื่อได้ทั่วพื้นที่จำนวนกว่า ๘๐ จุดย่อมเป็นสิ่งชี้วัดให้เห็นถึงศักยภาพในการใช้งานแนวร่วมที่มีกระจายอยู่เต็มพื้นที่ด้วย

          การพูดคุยสันติภาพพร้อมข้อเสนอ 5 ข้อถึงวันนี้แม้ว่าจะยังไปไม่ถึงฝั่งฝัน ด้วยว่าข้อเสนอที่เสมือนขอไปทีของ BRN ได้ชี้ชัดแล้วว่า ขบวนการรู้ดีว่าอย่างไรรัฐบาลไทยก็คงไม่ตอบสนอง จึงอาศัยช่องโหว่นี้ก่อเหตุร้ายไปเรื่อยๆ เพื่อไปให้ถึงวัตถุประสงค์หลักคือการเรียกร้องให้องค์กรระดับโลกเข้ามาแทรกแซงเพื่อนำไปสู่ขั้นตอนการกำหนดใจตนเองของประชาชนแล้วแยกตัวเป็นเอกราชต่อไป การล้มโต๊ะพูดคุยสันติภาพก็เป็นอีกหนึ่งขั้นตอนที่ต้องการสร้างความชอบธรรมเพื่อป่าวประกาศให้นานา ชาติรู้ว่ารัฐบาลไทยไม่ต้องการใช้แนวทางสันติ นั่นต่างหากที่เป็นเจตนา

          เรื่องป้ายผ้าจึงเป็นเพียงน้ำจิ้มที่ช่วยให้ผักจานใหญ่มีรสชาดขึ้น..ก็เท่านั้น


          ซอเก๊าะ  นิรนาม

วันอาทิตย์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2556

PerMAS กับการจุดชนวน“มหกรรมสันติภาพครบรอบ 10 ปี ความรุนแรงรอบใหม่”


             ย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปี ก่อน เวลาประมาณ 02.00 น. ของคืนวันที่ 4 มกราคม พ.ศ.2547 (ค.ศ.2004) ได้มีกองกำลังติดอาวุธไม่ทราบฝ่าย จำนวนราว 60 คน บุกเข้าปล้นปืนกองพันพัฒนาที่ 4 ค่ายนราธิวาสราชนครินทร์ อำเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส กองกำลังดังกล่าวได้สังหารเจ้าหน้าที่ทหารไป 4 นาย ก่อนหลบหนีไปพร้อมกับอาวุธปืน M-16 และอาวุธปืนสั้นรวม 437 กระบอก ซึ่งค่ายทหารที่ถูกโจมตีดังกล่าวเป็นแค่กองพันทหารพัฒนาที่มาสร้างความเจริญให้กับพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ มิใช่หน่วยสู้รบแต่อย่างใด

          โดยข้อเท็จจริงสถานการณ์ความไม่สงบที่มาจาก รากเหง้า” การแบ่งแยกดินแดนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ จุดเริ่มต้นแท้จริงไม่ได้มาจากการ ปล้นปืน” กองพันพัฒนาที่ 4 (ค่ายปิเหล็ง) อำเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส อย่างที่สังคมไทยส่วนหนึ่งเข้าใจ แต่ปัญหาความไม่สงบ เนื่องจากความพยายามแบ่งแยกดินแดนของขบวนการโจรใต้ในชื่อต่าง ๆ เช่น บีเอ็นพีพี พูโล มูจาฮีดีน บีอาร์เอ็น ได้จัดตั้งวิธีการต่อสู้มายาวนานแล้ว ดังนั้นปัญหาการแบ่งแยกดินแดนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือความไม่พอใจของกลุ่มเห็นต่างจากรัฐจึงมีประวัติศาสตร์การต่อสู้ที่มีอุดมการณ์ ไม่ใช่โจรใต้ที่อ้างตัวเป็นนักรบ เป็นตัวแทนชาวปาตานีเหมือนสมัยนี้

                   ทั้งนี้กลุ่มโจรใต้ยังใช้ยุทธศาสตร์เน้นความรุนแรงเพื่อสร้างความหวาดกลัวกับประชาชนในการควบคุมมวลชน รวมทั้งปลุกระดมนำเยาวชนไปเป็นแนวร่วมในการก่อเหตุ โดยใช้ความเป็นชนชาติมลายู  ศาสนา และประวัติศาสตร์ บวกกับความไม่เป็นธรรมเพื่อต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ ในขณะที่ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ใช้ยุทธศาสตร์ เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” เป็นยุทธศาสตร์หลัก โดยมี 6 ยุทธศาสตร์รอง อาทิ การเสริมสร้างความเข้าใจ การพัฒนาศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ การป้องกันและการแก้ปัญหาภัยแทรกซ้อน การดำเนินการด้านสิทธิมนุษยชน การรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน

          ความขมขื่นของประชาชนในพื้นที่ ใครกันแน่ที่เป็นผู้กระทำ กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงมิใช่หรือ? ที่ไปปล้นปืนกองพันพัฒนาที่ 4 เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2547 แล้วนำอาวุธปืนดังกล่าวมาก่อเหตุสร้างสถานการณ์ ฆ่าประชาชนและเจ้าหน้าที่ ก่อนหน้านี้ประชาชนอยู่อย่างสงบสุขไม่เดือดร้อน และหวาดระแวงต่อกัน กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงได้สร้างบาดแผลให้เกิดความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกันระหว่างชาวไทยพุทธ และชาวไทยมุสลิม ต้องการสร้างความแตกแยก ในขณะที่เจ้าหน้าที่เข้ามาเพื่อแก้ปัญหา พัฒนาพื้นที่ นำความสันติสุขกลับสู่พื้นที่ปลายด้ามขวานแห่งนี้ กลุ่ม BRN หรือ PULO แม้แต่กลุ่มแนวร่วมอีกหลายกลุ่ม เคยทำอะไรเพื่อพี่น้องประชาชนในพื้นที่แห่งนี้บ้าง นอกจากวางระเบิด เข่นฆ่าพี่น้องที่เป็นคนไทยด้วยกัน เลือดสีเดียวกัน พี่น้องที่นับถือศาสนาเดียวกัน 10 ปี ที่เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบขึ้นมาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ นับตั้งแต่เสียงปืนนัดแรกดังขึ้นเมื่อวันที่ 4 มกราคม 2547 เราได้อะไรจากกลุ่มโจรใต้ พวกนี้บ้าง นอกจาก เสียงปืน เสียงระเบิด รอยเลือด และคราบน้ำตาแห่งความสูญเสีย


      
          ในเวทีพูดคุยสันติภาพ ขบวนการพูโล (Patani United Liberation Organisation : PULO) ประสบความสำเร็จในการรวม 3 กลุ่ม ให้เป็นหนึ่งเพื่ออำนาจต่อรองเข้าร่วมวงพูดคุยเพื่อสันติภาพ จำนวน 2 ที่ ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่าไม่เป็นที่พอใจของ BRN สักเท่าไหร่ เพราะที่ผ่านมาได้แสดงบทนำมาโดย ตลอด การเกิดเหตุรุนแรงในห้วงนี้ที่มีการสร้างสถานการณ์รายวันอาจจะเป็นความไม่พอใจของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เกิดจากความขัดแย้งแย่งชิงองค์กรนำสร้างสถานการณ์แล้วโยนความผิดว่าเป็นฝีมือของกลุ่มอื่น เช่น BRN ก่อเหตุแล้วกุข่าวว่า PULO เป็นผู้กระทำ หรือ PULO ก่อเหตุแล้วโยนให้ BRN ไม่ว่ากลุ่มไหนก็ช่าง ความเลวที่ได้ก่อไว้กับการมุ่งทำลายชีวิตเจ้าหน้าที่และประชาชนผู้บริสุทธิ์ถือได้ว่าการกระทำนั้น สุดโต่ง

          กลุ่มนักศึกษาที่เรียกตัวเองว่า ปัญญาชนอย่าง PerMAS คนทั่วไปต่างรู้ดีว่าเป็นปีกหนึ่งของขบวนการ BRN ในการเคลื่อนไหวงานการเมืองและมวลชนจัดตั้ง จากหลักฐานที่ปรากฏทำให้ยืนยันได้ว่ามีความเชื่อมโยงกันทั้งมิติทางทหารเป็นการต่อสู้ในทางลับ และมิติทางการเมืองเป็นการต่อสู้ทางเปิด ชักนำนักเรียน นิสิต นักศึกษา และเยาวชน ออกมาเคลื่อนไหวโจมตีการแก้ปัญหาของภาครัฐ โดยการใช้เวที Bicara Patani ในการขับเคลื่อนตามเป้าหมายที่วางเอาไว้ 200 เวที ปัจจุบันได้จัดไปแล้ว 48 เวที มีข้อสังเกตการจัดเวที  Bicara Patani ของกลุ่ม PerMAS มีเจตนาแอบแฝง วัตถุประสงค์อำพราง เพื่อเปิดทางให้ชุดปฏิบัติการทางทหารของกลุ่ม BRN เข้าพื้นที่ได้โดยเสรี จากนั้นจะมีการก่อเหตุรุนแรงเกิดขึ้นตามมาหลังจากจัดกิจกรรม การจัดกิจกรรมในบางพื้นที่เชื่อมโยงถึงระดับแกนนำของ BRN ใช้กิจกรรมของ PerMAS อำพรางการประชุมในการวางแผนก่อเหตุให้กับสมาชิก ที่ผ่านมาพบว่ากลุ่ม PerMAS บางส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อเหตุในพื้นที่ และจัดกิจกรรมปลุกระดม อย่างเช่น นายนูรมาน ดอเลาะ อดีตนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฎยะลา มีส่วนเกี่ยวข้องเหตุการณ์ลอบวางระเบิดในเขตเทศบาลนครยะลา 38 จุด เมื่อ 25 ตุลาคม 2554 ทำหน้าที่สังเกตการณ์และนำระเบิดเข้าพื้นที่ นายสุไฮมิง ดุลละสะ ประธาน PerMAS คนปัจจุบัน เคยร่วมจัดกิจกรรมแอบแฝงเพื่อชี้นำความเป็นเชื้อชาติมลายูปาตานี ให้กับเยาวชนในสถานศึกษาศาสนาทุกระดับ จะเห็นว่าแกนนำของกลุ่มแอบอ้างตัวมาโดยตลอดว่าเป็นตัวแทนของนักศึกษาในสามจังหวัดภาคใต้ แต่แท้จริงแล้ว ก็แค่กลุ่มๆหนึ่ง ที่ต้องการแบ่งแยก เพื่อเอกราชปาตานี เอากลุ่มนักศึกษามาบังหน้า ซึ่งการแสดงออกของพฤติกรรมนายคนนี้มีให้เห็นอยู่บ่อยๆ  การเคลื่อนไหวมีวาระแอบแฝง ซ่อนเร้นผลประโยชน์ ทำเพื่อตัวเอง เหตุใดจึงมองไม่เห็นความทุกข์ของคนในพื้นที่ปลายด้ามขวานแห่งนี้ ใครกันแน่ที่ต้องสูญเสีย ใครกันที่ต้องเจ็บปวดกับเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น ใครกันที่ต้องทนรับความขมขื่นที่กลุ่มโจรกลุ่มนี้มอบให้..... ครบรอบ 10 ปีที่ขมขื่น   ประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้รับจากน้ำมือโจรใต้ที่ผูกเนคไทใส่สูทเสนอหน้าในเวทีการพูดคุยสันติภาพจอมปลอมที่คุยไปฆ่าผู้คนไป......อนิจจาประชาชนที่ต่างตั้งตารอคอยสันติภาพ

.........ตนไทยปลายด้ามขวาน       

วันพฤหัสบดีที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2556

แนวร่วมป่วนใต้กับการบิดเบือนข่าวสารใน จชต. ความพยายามที่สิ้นหวัง



         นับวันการใช้สื่ออีเล็คทรอนิคส์อย่างเว็บไซต์และเครือข่ายสังคมออนไลน์เพื่อสร้างการรับรู้ด้วยข้อมูลทั้งที่เป็นจริงและไม่เป็นจริงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ดูจะมีการขยายตัวขึ้นอย่างรุนแรง โดยเฉพาะกับกลุ่มแนวร่วม  ของฝ่ายก่อเหตุรุนแรงได้มีการใช้ประโยชน์ด้วยการบิดเบือนข่าวสารที่เกิดขึ้นในพื้นที่ทั้งบางส่วนด้วยการนำเสนอด้านเดียวและการบิดเบือนทั้งหมดชนิดที่ว่าได้อ่านแล้วเกิดอาการสับสนว่าเหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้นในพื้นที่ที่เคยสงบสุขมาช้านานแห่งนี้ได้อย่างไร
          โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ยังปรากฎเงื่อนไขสนับสนุนจากความแตกต่างที่เป็นตัวเร่งให้เกิดเหตุรุนแรงซึ่งมีความเปราะบางเช่นจังหวัดชายแดนภาคใต้แห่งนี้

ด้วยความที่เป็นสื่อที่สามารถนำส่งข่าวสารที่รวดเร็ว และสร้างการรับรู้ได้อย่างที่วันนี้อาจเรียกได้ว่าไร้ขีดจำกัด ทำให้องค์กรหรือบุคคลที่เป็นปฏิปักษ์กับรัฐซึ่งมีที่ตั้งอยู่ทั้งภายในและนอกประเทศต่างร่วมกันนำเสนอและบิดเบือนข่าวกันอย่างมากมายทั้งที่มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความแตกแยกภายในประเทศและสร้างความเข้าใจผิดไปยังกลุ่มประเทศมุสลิมที่ให้การสนับสนุนการก่อเหตุรุนแรงได้รับรู้ข้อมูลที่คลาดเคลื่อน ด้วยหวังผลอย่างที่กล่าวข้างต้น

จากการเฝ้าติดตามการต่อสู้ด้วยสงครามข่าวสารอย่างฝุ่นตลบของข้างฝ่ายขบวนการเมื่อไม่กี่วันมานี้ได้พบข้อมูลการบิดเบือนอย่างน่ารังเกียจของเวบเพจเฟสบุ๊คแห่งหนึ่งซึ่งเป็นเพจคู่ขนานของเว็บไซต์ www.suara-ampera.com ซึ่งเป็นที่รู้กันในวงการว่าบิดได้ชนิดหน้ามือเป็นหลังเท้าชื่อเพจ www.facebook/Patani Fakta Dan Opini ที่ทุกคนดูอย่างไรก็รู้ว่าเป็นการทำขึ้นโดยบุคคลหรือกลุ่มบุคคลเดียวกัน และได้นำเสนอมาในหลายเรื่องหลายประเด็น แต่ผู้เขียนอยากจะขอยกตัวอย่างการบิดเบือนซักหนึ่งตัวอย่างเพื่อให้ผู้อ่านได้พิจารณากัน

           เพจดังกล่าวได้นำเสนอข่าวสารในภาษามาเลเซียเกี่ยวกับจำนวนตัวเลขในการนำกำลังทหารเข้าแก้ไขปัญหาในพื้นที่ภาคใต้ของรัฐบาลไทยว่ามีจำนวนถึงกว่าหกหมื่นคนเข้าประจำการในพื้นที่ รวมทั้งการฝึกอาสาสมัครชาวไทยพุทธอีกถึงแปดหมื่นคน ซึ่งเป็นข้อมูลที่มีความคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงอย่างมาก เพราะเป็นการนำตัวเลขทั้งของกำลังประจำพื้นที่และเจ้าหน้าที่ในส่วนของฝ่ายพัฒนาซึ่งเป็นพลเรือนเข้ามารวมด้วย ในความเป็นจริงทหารที่เดินทางมาจากนอกพื้นที่นั้นมีเพียงประมาณสองหมื่นเก้าพันคนและกำลังทยอยถอนกำลังออก    

         ในส่วนของอาสาสมัครชาวไทยพุทธนั้นก็จัดการฝึกให้เฉพาะในชุมชนไทยพุทธที่มักตกเป็นเป้าหมายในการลอบทำร้ายจากขบวนการที่เกิดขึ้นอยู่เนืองๆ ซึ่งขณะนี้มีเพียงไม่กี่ชุมชนเท่านั้น ด้วยว่าจำนวนไทยพุทธในพื้นที่กำลังลดจำนวนลงทุกวันจากการถูกข่มขู่คุกคามให้อพยพออกจากพื้นที่

          นี่ต่างหากที่เป็นเรื่องจริงที่คาดว่าผู้ดูแลเว็บเพจนี้ก็รับรู้ แต่ยังมีเจตนาบิดเบือนเพื่อสร้างภาพให้เกิดความเข้าใจผิดว่าพี่น้องมุสลิมในพื้นที่กำลังถูกคุมคามจากทหารและชาวไทยพุทธ ซึ่งหลายๆ ประเทศกำลังจับตามองและมีความเข้าใจสถานการณ์ดีว่าขณะนี้เรื่องจริงๆ เป็นอย่างไร


          และแน่นอนว่าหมายความรวมถึงองค์กร Human Right Watch (HRW) ซึ่งเว็บเพจนี้ระบุว่าส่วนใหญ่ ชาวมลายูมุสลิมจะถูกลักพาตัวไปทรมานและฆ่าโดยทหารภายใต้ พรก.ฉุกเฉิน และกฎหมายพิเศษอื่นๆ โดยทหาร ที่กระทำไม่ต้องถูกลงโทษ ทั้งๆ ที่ Human Right Watch เองเพิ่งจะประณามการทำร้ายเป้าหมายอ่อนแอ เช่น ครู และเด็กเล็กของกลุ่มที่มีความพยายามแบ่งแยกดินแดนในภาคใต้ของไทยเมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งเพจนี้ไม่เคยหยิบมานำเสนอเพราะเป็นเรื่องจริง  
เพจ Patani Fakta Dan Opini 
  
           ที่เลวสุดๆ คือ การก่อเหตุยิงชาวบ้านสองพ่อลูกในพื้นที่ ม.1 บ.เจาะโบ ต.แป้น อ.สายบุรี จ.ปัตตานี เมื่อวันที่ 11 ธ.ค.56  ขณะกำลังเดินทางกลับจากมัสยิด ทำให้นายมะนูซี สะมะแอ อายุ 32 ปี บ้านเลขที่ 105/6 ม.3 ต.แม่ดง อ.แว้ง จ.นราธิวาส เสียชีวิต และ ด.ช.มูซา สะมะแอ อายุ 2 ปี บ้านเลขที่ 5 หมู่ 2 ต.เกียร์ อ.สุคิริน จ.นราธิวาส ได้รับบาดเจ็บ เด็กอายุแค่สองขวบมันยังทำได้  แล้วท่านดูแลเว็บเพจข้างต้นเคยออกมานำเสนอความเลวร้ายสุดขั้วของฝ่ายที่ตนถือหาง ขออภัยครับ ฝ่ายที่ตนสนับสนุนอยู่หรือไม่  คำตอบคือไม่ นี่ถ้าเป็นครอบครัวของตัวเองคงจะสำนึกอะไรได้บ้าง


          คนละเรื่องเลยมั้ยครับ เรื่องจริงเป็นอย่างไรตนเองรู้ดี แต่ยังบิดเบือนได้อย่างน่ารังเกียจอย่างที่กล่าวแต่ต้น การนำเสนอเช่นนี้อาจเป็นการดูถูกภูมิปัญญาขององค์กรภาคประชาสังคมดีๆ ที่ยัง (อาจ) มีอยู่ในพื้นที่นี้หรือแม้แต่องค์กรระดับโลกว่าด้อยปัญญาได้ ซึ่งเมื่อความจริงปรากฏอย่าหวังเพียงบิดเบือนให้คนอื่นเข้าใจผิดเพื่อกลุ่มของตนจะได้เป็นใหญ่และแบ่งแยกดินแดนเลย แผ่นดินที่ได้อยู่ทุกวันนี้คนกลุ่มนี้จะอยู่ได้ต่อไปหรือไม่ก็ยังไม่รู้

          การใช้กำลังทหารและการฝึกอาสาสมัครรวมทั้งการบังคับใช้กฎหมายพิเศษนั้น ในความเป็นจริงแล้ว   เป็นการตอบสนองความต้องการในการรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ของประชาชนส่วนใหญ่ที่ต้องการสันติสุข เพราะมาตรการทั้งหมดนั้นไม่ได้กระทบกับการดำรงชีวิตของประชาชน คงมีเพียงผู้ที่มุ่งร้ายต่อสังคมเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบโดยตรง เพราะไม่สามารถก่อเหตุร้ายได้สะดวก และหากมีเบาะแสเจ้าหน้าที่ก็สามารถเชิญไปพูดคุย    ได้ตามกรอบของกฎหมายหากพบว่าไม่เกี่ยวข้องก็ปล่อยตัวไป

          โดยสรุปคือกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงเท่านั้นที่จะเป็นฝ่ายเสียประโยชน์จากการใช้บังคับใช้กฎหมายพิเศษนี้   แต่น่าแปลกที่ยังมีบุคคลบางกลุ่มที่บอกว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับการก่อเหตุรุนแรง แต่ก็เห็นสนับสนุนกันดีอย่างไม่น่าจะเป็น ทั้งยังช่วยเรียกร้องให้ยกเลิกกฎหมายพิเศษรวมทั้งโจมตีเจ้าหน้าที่ในทุกเรื่องทั้งๆ ที่หลายเรื่องเกิดประโยชน์กับประชาชนส่วนใหญ่มากมาย

          ออกมาโวยวายมากๆ เดี๋ยวคนอื่นเค้าหาว่าเป็นโจรไม่รู้ด้วยนะ หรือจะยอมรับว่าเป็น
                  
ซอเก๊าะ  นิรนาม

วันพุธที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2556

มุมมอง ดร.วันกาเดร์ เจ๊ะมัน อดีตผู้นำ Bersatu ต่อ BRN


     เมื่อปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ร่วมกับ สถาบันอิศรา มูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย จัดเวทีเสวนาเรื่อง หนึ่งทศวรรษปัญหาใต้ ในมุมมองของ ดร.วันกาเดร์ เจ๊ะมัน และ ดร.จรัญ  มะลูลีม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการปรากฏตัวของ ดร.วันกาเดร์ เจ๊ะมัน อดีตผู้นำกลุ่มเบอร์ซาตู ได้ออกมากล่าวการลดบทบาทของกลุ่มของตนเนื่องจากมีความขัดแย้งภายใน และยังได้กล่าวว่า แม้กระทั่ง BRN ก็มีปัญหาเช่นเดียวกันได้เกิดความขัดแย้ง เนื่องจากไม่ได้มีกลุ่มเดียวภายในกลุ่ม ต่างแย่งชิงองค์กรนำในการสั่งการเคลื่อนไหวในพื้นที่

           คำกล่าวของ ดร.วันกาเดร์  เจ๊ะมัน สอดรับกับการเคลื่อนไหวล่าสุดของ นายฮัสซัน  ตอยิบ ที่พยายามดิ้นทุกวิถีทางด้วยการออกมาแถลงจุดยืนผ่านสื่อ Youtube เล่นเกมส์นอกโต๊ะเจรจา ซึ่งไม่ได้เป็นเรื่องใหม่สำหรับการกระทำของนายฮัสซันฯ ที่แสดงบทพระเอกนำ ในส่วนของฝ่ายคิดต่างจากรัฐมาโดยตลอด แต่ที่น่าสนใจอย่างยิ่งคือคณะที่เข้าร่วมพูดคุยมาจากหลากหลายกลุ่มมากขึ้น ที่ให้การตอบรับในการเข้าร่วมในกระบวนการพูดคุยสันติภาพ โดยมีประเทศมาเลเซียเป็นผู้อำนวยความสะดวกในการพูดคุยสันติภาพ ในครั้งต่อไปผู้ที่เข้าร่วมในคณะ จะมีตัวแทนจากทุกกลุ่ม ที่มีการเคลื่อนไหวสร้างความปั่นป่วนเป็นเสมือนหอกข้างแคร่ของประเทศไทยมาโดยตลอดระยะเวลา 10 ปี ของปัญหาไฟใต้ ต้องคอยจับตาดูความเคลื่อนไหวในพื้นที่จะมีการก่อเหตุเหมือนที่แล้วมาหรือไม่ในเมื่อประเทศไทยได้เชิญให้เข้าร่วมในเวทีการพูดคุยทุกกลุ่ม

          ในเวทีเสวนาหนึ่งทศวรรษปัญหาใต้ ในมุมมองของ ดร.วันกาเดร์ เจ๊ะมัน และ ดร.จรัญ  มะลูลีม  ดร.วันกาเดร์  เจ๊ะมัน ได้กล่าวไว้เป็นที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง การแก้ปัญหาด้วยการแบ่งแยกดินแดนเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว ต้องอาศัยสันติวิธี ยึดการเจรจาเป็นหลัก อดีตผู้นำเบอร์ซาตูท่านนี้มีความกล้าหาญชาญชัย กับการออกมากล่าวสาเหตุกลุ่มเบอร์ซาตูของตนเองที่ลดบทบาทลง เป็นเพราะมีการแตกแยกภายในกลุ่มย่อย การคลางแคลงใจกันเองภายในองค์กร ไม่ไว้ใจซึ่งกันและกัน และไม่เชื่อว่าการต่อสู้ที่ได้กระทำอยู่ทุกวันนี้จะได้ขึ้นสวรรค์ไปพบพระเจ้า ที่สำคัญการรับคำสั่งให้ปฏิบัติการทางทหารกับคนที่ไม่รู้จักและไม่เคยเห็นหน้า เหมือนกับการหลอกใช้งาน

          กลุ่ม BRN ได้มีการผลิตนักรบรุ่นใหม่ ทำการเคลื่อนไหวในการก่อเหตุเพื่อสร้างผลงานแย่งชิงองค์กรนำในการพูดคุยสันติภาพกับประเทศไทย ซึ่งการกระทำดังกล่าวมันขัดแย้ง สวนทางกับแนวทางสันติวิธี และไม่สอดคล้องกับการพูดคุยที่แล้วมา หรือที่กำลังจะเกิดขึ้น หากยังไม่หยุดการเคลื่อนไหว BRN ก็ไม่ต่างอะไรกับผู้ก่อการร้ายที่ทำลายผู้บริสุทธิ์ จากการวิเคราะห์ของสื่อ ข้อมูลเชิงลึกได้มีการดิสเครดิต นายฮัสซัน ตอยิบ ว่าเป็นได้แค่ผู้เฒ่าหมดอำนาจไม่เป็นที่ยอมรับจากบุคคลภายในองค์กร ไม่มีสิทธิในการสั่งการเคลื่อนไหวในพื้นที่ ที่แล้วมาในการเป็นตัวแทนกลุ่มเป็นได้แค่ตัวแสดงสำรอง กับละครฉากหนึ่งเท่านั้น และมีความเป็นไปได้ว่าจะมีบุคคลที่เป็นตัวแทนกลุ่ม BRN คนใหม่ขึ้นมาแทน นายฮัสซัน ตอยิบ ในการเข้าร่วมโต๊ะพูดคุยกับประเทศไทย ซึ่งต่างแย่งชิงองค์กรนำและมีความขัดแย้งภายในองค์กรอย่างรุนแรง  

          ดร.วันกาเดร์ ยังได้กล่าวอีกว่า ณ เวลานี้ยังไม่มีใครสามารถบอกได้ว่ากลุ่มใดที่มีบทบาทอย่างแท้จริงในการก่อเหตุในปัจจุบัน ซึ่งในมุมมองของผู้เขียนเองเชื่อว่าน่าจะมีมูลความจริงดั่งสมมติฐานของการแย่งชิงองค์กรนำในการเคลื่อนไหว และการสร้างผลงานในการก่อเหตุเพียงเพื่อต้องการตอบโต้ แสดงศักยภาพให้ประเทศไทยได้เห็นความสำคัญกลุ่มของตน ในเมื่อครั้งนี้ประเทศไทยได้ให้ความสำคัญกับทุกกลุ่ม หากยังมีการก่อเหตุอยู่การพูดคุยก็ไม่เป็นผล คุยไปก่อเหตุไปแล้วจะมานั่งพูดคุยกันทำไมให้เมื่อยปาก อย่าลืมว่าประชาชนในพื้นที่ตั้งความหวังไว้สูง รอคอยสันติภาพเพื่อจะได้กลับมาใช้ชีวิตอย่างสันติสุขเยี่ยงประชาชนส่วนอื่นของประเทศ...
                     
ตนไทยปลายด้ามขวาน

วันเสาร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

“เผาถังแดง 3 ศพ” คำบอกเล่าจากชาวปากล่อ


       เหตุฆ่าแล้วเผายัดถัง 200 ลิตร เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งที่ถูกยกมาเปรียบเปรยเหมือนกรณี “ถังแดง” สมัยพรรคคอมมิวนิสต์เรืองอำนาจเมื่อหลายสิบปีที่แล้ว ด้วยเหตุผลใดที่ไม่อาจทราบได้ว่ามนุษย์จะทำแบบโหดเหี้ยมได้กับมนุษย์ด้วยกันถึงเพียงนั้น แต่สำหรับพื้นที่แห่งความขัดแย้งทางความคิดในภาคใต้ของประเทศไทย มันได้กลับมาเป็นประเด็นหลักในการปลุกปั่นให้พี่น้องประชาชนรับรู้และเข้าว่าเกิดจาการกระทำของเจ้าหน้าที่ ซึ่งเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นมาจนเป็นที่ชินชาในขณะที่ชาวบ้านรับรู้และแบ่งแยกได้แต่ไม่กล้าพูด

          ผมลงพื้นที่ปากล่อและได้พบปะพูดคุยกับชาวบ้านถึงกรณีข้างต้นด้วยความสงสัยใคร่รู้ตามประสาสื่อมวลชนที่ได้รับข่าวสารว่า “ทหารเป็นคนทำ  และได้พูดคุยแบบปากต่อปาก จับเข่าคุยกันในหลายประเด็น แต่ที่ชาวบ้านพูดเหมือนกันในทุกๆ ร้านน้ำชาที่ได้ไปคือ “เผาสามศพเป็นเรื่องของพวกค้ายา”

          “ก๊ะยา” ซึ่งอยู่อาศัยในบ้านโผงโผงนี้มาตั้งแต่เกิดเล่าว่า เรื่องการแพร่ระบาดของยาเสพติดในพื้นที่ปากล่อเป็นเรื่องที่ชาวบ้านรู้กันทั่วไป และมองว่าทุกพื้นที่ก็เป็นเหมือนๆ กัน แต่ไม่คิดว่าจะทำให้เกิดการฆ่าอย่างโหดเหี้ยมเช่นนี้ “วันนั้นพวกเราเห็นรถขับมาวนเวียนตั้งแต่ช่วงเช้าแต่ก็ไม่ได้คิดอะไร พอมารู้ว่ามีคนตายถึงสามคนก็คิดได้ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องปกติ” เพราะการแพร่ระบาดของยาเสพติดในพื้นที่นี้เป็นที่รู้ๆ กันว่านักการเมืองท้องถิ่นซึ่งเป็นผู้มีอิทธิพลหนุนหลังอยู่ ในขณะที่ผู้ใหญ่บ้านที่ไม่อยากร่วมด้วยแต่ก็ไม่สามารถขัดขวางจึงต้องยอมร่วมขบวนการโฉดด้วยการหลับตาข้างเดียวทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นในช่วงแรก สุดท้ายก็ลงมาร่วมขบวนการแบบเต็มตัว

          “ชาวบ้านรู้...แต่ทำอะไรไม่ได้เพราะกลัวอันตราย ยิ่งมีเหตุฆ่ากันแล้วเผาใส่ถังแบบนี้ยิ่งไปใหญ่       จะบอกใครก็ไม่กล้าเพราะเขาต้องอยู่ที่นี่ ก็ต้องทนทั้งๆ ที่รู้” ก๊ะยากล่าวถึงความเป็นไปในหมู่บ้าน
          จากปากคำของนางซารอ โซ๊ะมะ แม่ของนายสุไลมาน  สาลา ผู้เสียชีวิตซึ่งพิสูจน์ตัวตนได้คนแรกจากกระเป๋าสตางค์ที่ตกในที่เกิดเหตุกล่าวว่าเสียใจกับการเสียชีวิตของลูกชายและรู้ดีว่าลูกเกี่ยวข้องกับขบวนการค้ายาเสพติด และลูกเคยเล่าให้ฟังว่ามีคนเคยชักชวนให้เข้าร่วมการกู้ชาติฟาตอนี แต่ลูกไม่ไปเพราะเห็นว่าเป็นไปไม่ได้ จึงถูกตามข่มขู่เรื่อยมา สุดท้ายก็ต้องมาเสียชีวิต แต่สาเหตุมาจากเรื่องใดตนไม่ทราบได้ แต่เท่าที่เห็นคิดว่ามีสองเรื่องคือ ยาเสพติดและการไม่ยอมเข้าขบวนการ

          เสียงปืนดังหลายนัดที่ชาวบ้านได้ยินก่อนพบศพจึงเป็นที่รู้กันว่า “อย่ายุ่ง” เพราะผู้นำหมู่บ้านมีส่วนรู้เห็น

ล่าสุดทราบว่ารถยนต์อีซูซุ ของผู้เสียชีวิตซึ่งคาดว่าคนร้ายจะนำไปประกอบระเบิดเพื่อก่อเหตุทำร้ายประชาชนต่อไป แต่ขณะที่ขับผ่านถนนข้างเขื่อนปัตตานีเพื่อนำไปหลบซ่อน ซึ่งเป็นถนนดินลูกรังประกอบกับฝนตกถนนลื่น ทำให้เสียหลักลงข้างทางไม่สามารถขับต่อไปได้ คนร้ายจึงได้เผาทำลายหลักฐาน นี่คงเป็นเพราะฟ้าดินไม่เป็นใจกับคนชั่วจึงทำให้เป็นเช่นนี้ ถ้าคนร้ายสามารถนำไปประกอบระเบิดได้คงสร้างความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนผู้บริสุทธิ์อีกมาก

และแน่นอนว่าเหตุการณ์ข้างต้นฝ่ายคนร้ายได้บิดเบือนว่าเจ้าหน้าที่เป็นผู้กระทำซึ่งปรากฎข่าวลือแบบปากต่อปากอย่างรวดเร็ว แต่สุดท้ายเมื่อความจริงปรากฎ ทุกอย่างก็จะเลือนหายไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ก๊ะยากล่าวเพิ่มเติมว่า “แต่ความจริงก็คือความจริง ท้ายที่สุดเรื่องทั้งหมดก็เป็นที่แน่ชัดว่าเกิดขึ้นจากความขัดแย้งเรื่องยาเสพติด ซึ่งเป็นปัญหารากเหง้าส่วนหนึ่งของพื้นที่นี้ เมื่อผลประโยชน์ยังมี ผู้นำยังคล้อยตาม แอบอ้างการก่อเหตุรุนแรงเพื่อสร้างความสับสนให้ฝ่ายรัฐในการดำเนินธุรกิจเถื่อนต่อไป สุดท้ายใครล่ะที่ต้องรับกรรม ไม่ใช่ชาวบ้านหรือ” ก๊ะยากล่าวในที่สุด

ผมอยู่ในพื้นที่และได้รับรู้ถึงพฤติกรรมแบบนี้มามากมาย และย้ำกับตัวเองเสมอว่าถ้ายังอยากมีชีวิตอยู่ที่นี่ต่อไปต้อง “ตามน้ำ แต่ถึงวันนี้ วันที่ทุกอย่างเลวร้ายสุดขั้ว ในฐานะสื่อผมก็ต้องบอกเล่าให้ได้รับรู้ต่อไป ในเรื่องที่ไม่เคยมีใครรู้ข้อเท็จจริงเหมือนก๊ะยาพูด  แต่ถ้านึกเรื่องเลวร้ายที่จะตามมาไม่ออกหากไม่มีใครพูด ดูสามศพที่เหลือแต่กระดูกซิ ยังอยากจะให้มีแบบนี้อีกมั้ย
         

                                                                                                ตนไทยปลายด้ามขวาน

วันอังคารที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ทำร้ายพระ ฆ่าครู เพราะอยู่ใกล้ทหาร เหตุผล (พล่อยๆ) อ้างสิทธิสังหารคนของคณะพูดคุยสันติภาพ


           ในการพูดคุยสันติภาพครั้งที่ 4 ซึ่งเป็นโรคเลื่อนมาหลายครั้งโดยเหตุผลการเลื่อนไม่ได้อยู่ที่ผู้แทนของรัฐบาลไทย แต่เป็นผลสืบเนื่องจากความไม่พร้อมของผู้แทนของกลุ่มต่างๆ นำโดยกลุ่มบีอาร์เอ็นที่ยังปรากฎการกีดกันกันเองเพื่อสร้างเครดิตให้กลุ่มของตนได้มีบทบาทในการนำการพูดคุยหรือต่อรองกับรัฐบาลให้มากที่สุด ด้วยหวังผลในการชิงการนำเป็นผู้ที่มีบทบาทสูงสุดเพื่อเรียกคะแนนสะสมส่วนตัวไว้ ก่อนที่การพูดคุยจะถึงวาระที่สามารถหาข้อสรุปร่วมกันได้มากที่สุด เพราะนั้นหมายถึงการได้รับโอกาสเป็นชนชั้นปกครองอย่างที่ผู้แทนกลุ่มต่างๆ พยายามช่วงชิงและวาดหวังมาโดยตลอด ซึ่งบทบาทนี้คงหนีไม่พ้นฮัสซัน ตอยิบ ที่พยายามยกตัวเองเป็นพี่ใหญ่ชี้นิ้วบงการ

และแม้แต่กลุ่มพูโลโดยกัสตูรี มะห์โกตา ผู้ซึ่งแสดงจุดยืนมาอย่างชัดเจนที่จะใช้แนวทางการพูดคุยเพื่อแก้ไขปัญหาในภาคใต้ของไทยและประกาศตนเองว่ามีความพร้อมเข้าร่วมพูดคุยเพื่อเสนอทางออกร่วมกันด้วย ก็ยังถูกกีดกันจากกลุ่มบีอาร์เอ็นด้วยเช่นกัน แม้ว่าล่าสุดพูโลจะมีที่นั่งในโต๊ะเจรจาแต่ก็เป็นเพียง 2 ที่จากทั้งหมด 15 ที่ ซึ่งไม่แน่ใจนักว่าความตั้งใจใช้แนวทางสันติของพูโลกับการเป็นเสียงข้างน้อยจะสามารถคานอำนาจความมักใหญ่ ใฝ่สูงและฝักใฝ่การใช้ความรุนแรงเพื่อต่อรองกับรัฐบาลไทยของ ฮัสซัน ตอยิบ ได้มากน้อยเพียงใด

          การสร้างกระแสด้วยการบิดเบือนปล่อยข่าวต่างๆ นาๆ ของบีอาร์เอ็นโดยฮัสซัน ตอยิบ ผ่านสื่อนอกประเทศซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในมาเลเซีย และในประเทศไทยผ่านสื่อที่มักเป็นกระบอกเสียงให้อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าการใช้สื่อเพื่อ “การโฆษณาชวนเชื่อ” หรือ IO ของบีอาร์เอ็นจะมีเนื้อหาที่หมิ่นแหม่ต่อการเกิดผลกระทบต่อความมั่นคงภายในประเทศ แต่ก็ยังเห็นสื่อเหล่านั้นช่วยกันโหมกระพือแบบไม่รู้สึกรู้สา เหมือนกับไม่ใช่คนที่บอกว่าทำเพื่อสร้างความสงบสุขอย่างที่ควรจะเป็น

          การเผยแพร่คำให้สัมภาษณ์ของแกนนำกลุ่มผู้เห็นต่างจากรัฐ (ซึ่งจริงๆ แล้วควรจะเรียกว่าอาชญากร) และเป็นผู้ที่ได้นั่งร่วมโต๊ะพูดคุยสันติภาพด้วยนั้น ได้สะท้อนให้เห็นถึงสภาวะแห่งจิตใจในความเป็นตัวตนที่ยืนอยู่บนความไร้เหตุผลอย่างแท้จริงของผู้ให้สัมภาษณ์ ทำให้เกิดคำถามว่าขบวนการนำคนแบบนี้มาร่วมโต๊ะพูดคุยได้อย่างไร

            ไม่มีนโยบายทำร้ายครู – พระ
          การลอบสังหารครูในโรงเรียนของรัฐไปแล้วกว่า 160 คนไม่รวมที่บาดเจ็บโดยให้เหตุผลว่าเพราะทหาร  ลากครูเข้าไปเกี่ยวข้อง ไปตั้งฐานในโรงเรียน เลยทำให้ครูต้องเป็นเป้าหมายในการต่อสู้ด้วย ดูจะเป็นเหตุผลให้ผู้ที่มีวิจารณญาณได้รับฟังคงถึงกับอึ้ง เพราะเหตุลอบสังหารครูในพื้นที่นี้ซึ่งเกิดขึ้นต่อเนื่องมาตั้งแต่เริ่มเหตุรุนแรง ที่จำกันได้ดีคือ กรณีครูจูหลิง ปงกันมูล ครูสาวผู้อุทิศตัวเพื่อเด็กๆ ด้อยโอกาสในพื้นที่แต่กลับถูกชาวบ้านทั้งชายหญิง ในบ้านกูจิงลือปะ ตันหยงลิมอจำนวนหลายสิบคนจับเป็นตัวประกันเพียงเพราะต้องการให้ปล่อยตัวผู้ต้องหาซึ่งกระทำผิด สุดท้าย ต้องถูกรุมทำร้ายจนเสียชีวิตอย่างน่าสงสารเป็นที่สะเทือนใจไปทั้งประเทศ  หรือครูชลธี เจริญชล ครูโรงเรียนบ้านตันหยง
 จ.นราธิวาส  ซึ่งเป็นครูมุสลิมที่สั่งสอนให้เด็กๆ ได้รับทราบความเป็นจริงของปัญหาในบ้านของเขา จนถูกขบวนการมองว่าจะเป็นต้นเหตุให้เกิดการต่อต้านตามมา จึงส่งสมุนเข้าไปยิงถึงในโรงอาหารภายในโรงเรียนจนเสียชีวิต ขณะที่กำลังดูแลเด็กรับประทานอาหาร ยิงต่อหน้าต่อตาเด็กไร้เดียงสาขณะที่ไม่มีทหารอยู่ในโรงเรียน “นี่หรือไม่มีนโยบายฆ่าครู” และนี่เป็นเพียงเสี้ยวนึงของการก่อกรรมทำเข็ญกับแม่พิมพ์ของชาติที่ทำหน้าที่สั่งสอนเด็กให้เป็นคนดีและเติบโตขึ้นมาอย่างมีคุณภาพ


          บอกได้เลยว่าไม่มีเหตุผลอื่นใดนอกจากสร้างความหวาดกลัว บีบให้ครูไทยพุทธออกนอกพื้นที่ ปิดโรงเรียนรัฐที่จะสอนให้เด็กมีโอกาสได้เรียนต่อสูงๆ ซึ่งทำให้ยากต่อการควบคุม กดดันให้พ่อแม่ผู้ปกครองย้ายลูกหลานไปเรียนในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนา ซึ่งเป็นรู้ๆ กันถึงผลประโยชน์จากเงินสนับสนุนต่อหัวต่อปีที่ได้รับจากรัฐบาลจำนวนไม่น้อยพร้อมด้วยการกีดกันไม่ให้สำนักงานการศึกษาเอกชนเข้าตรวจสอบยอดนักเรียนที่แท้จริง แต่กลับมีการเรียนการสอนภาครัฐที่ไม่มีคุณภาพ เพราะไม่ได้มุ่งสร้างเด็กให้มีความรู้อย่างแท้จริง ทำให้ไม่สามารถสอบแข่งขันกับเด็กๆ ในภาคอื่นๆ ได้ แล้วยังอ้างว่าไม่มีสิทธิในการเข้าเป็นข้าราชการ  ผลเสียทั้งหมดนั้นต้นเหตุมาจากใคร  คงเดาได้ไม่ยาก

          การลอบวางระเบิดพระขณะกำลังบิณฑบาตของผู้ก่อเหตุรุนแรงเป็นภาพที่น่าเศร้าใจที่สุดสำหรับพุทธ   ศาสนิกชน และผู้เขียนค่อนข้างแน่ใจว่าเหตุเลวร้ายสุดขั้วนี้จะไม่มีเกิดขึ้นที่ใดในโลกเว้นภาคใต้ของประเทศไทย การสังหารพระอย่างโหดเหี้ยมที่วัดพรหมประสิทธิ์ อ.ปะนาเระ ปัตตานี หรือการลอบยิงพระที่เกิดขึ้นเนื่องๆ โดยที่พระซึ่งเป็นเป้าหมายอ่อนแอไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้จนต้องมรณะภาพไปมากมายหลายรูปทั้งที่ไม่ได้มีทหารอยู่ในวัด “นี่หรือไม่มีนโยบายฆ่าพระ”

          และการฆ่าพระฆ่าครูนี้ แม้แต่แกนนำกลุ่มพูโลเก่ายังเคยออกมาให้สัมภาษณ์ว่า น่าตกใจและไม่คิดว่ากลุ่มบีอาร์เอ็นรุ่นใหม่จะสามารถทำได้ 
พระวัดพรหมประสิทธิ์ถูกฆ่าแล้วเผาอย่างโหดเหี้ยม

          การให้สัมภาษณ์ดังกล่าวตามมาด้วยหลากหลายเหตุผลเสียสติของแกนนำบีอาร์เอ็นเหล่านั้นที่นำเสนอผ่านสื่อได้อย่างน่าละอาย การลอบสังหารไทยพุทธเพราะฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐไปติดอาวุธให้ หรือการลอบสังหารไทยพุทธบางครั้งไม่ได้เกิดจากการกระทำของฝ่ายตนโดยตรง แต่เป็นคนมลายูที่มีความเครียดแค้นเจ้าหน้าที่จึงไปลงที่ชาวไทยพุทธที่ไม่รู้เรื่อง  นี่หรือคือแนวความคิดของกลุ่มคนที่รัฐบาลไทยกำลังพูดคุยเพื่อร่วมกันแก้ปัญหา

          น่าสงสารแทนพี่น้องประชาชนในพื้นที่บางส่วนที่สนับสนุนคนกลุ่มนี้จริงๆ ลองมโนภาพดูว่า หากคนกลุ่มนี้ได้เป็นใหญ่ขึ้นมาวันใด พี่น้องกลุ่มนี้แหละที่ต้องทนถูกกดขี่บนความหวาดกลัวต่อไป  และนี่จะเป็นการกดขี่ในชีวิตจริงที่ไม่ใช่เพียงข้ออ้างว่าถูกกดขี่จากเจ้าหน้าที่รัฐที่ยังหาความจริงไม่ได้

          “ถอนทหารออก เราก็จะหยุด”  การถอนกำลังทหารดูจะเป็นความต้องการของแกนนำที่ถูกนำมาเรียก ร้องสร้างกระแสในพื้นที่มากที่สุด เพราะถ้าไม่มีกำลังทหารอยู่ในพื้นที่แล้ว การเคลื่อนไหวตามยุทธศาสตร์การแบ่ง แยกดินแดนในปีกของการทหารโดยทำพื้นที่ให้เกิดความรุนแรงจะดำเนินไปได้อย่างเสรี  ซึ่งจะนำไปสู่การบรรลุวัตถุประสงค์ในที่สุด  แต่ในวันที่ยังมีทหารอยู่ในพื้นที่กลุ่มขบวนการนอกจากจะไม่สามารถเดินเกมส์ได้อย่างเต็มที่แล้ว ยังต้องถูกการติดตามจับกุมอย่างไม่ลดละของฝ่ายความมั่นคงจนต้องหลบหนีออกนอกประเทศ บางส่วนถูกจับกุมหรือถูกวิสามัญฆาตกรรมไปหลายราย  การเรียกร้องโดยอ้างความต้องการของมวลชนจึงเป็นกลยุทธ์หลัก   ที่ช่วยสนับสนุน ขณะที่ความพยายามเรียกร้องสิทธิในการกำหนดใจตนเอง  การยอมรับความเป็นชนชาติ ยังคงมีความพยายามเคลื่อนไหวทางการเมืองโดยองค์กรนักศึกษาและภาคประชาสังคมภายในพื้นที่ที่กำลังดำเนินอยู่ในขณะนี้ ดังนั้น หากการถอนทหารจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น  คำว่าดีในที่นี่จึงไม่ใช่เหตุการความไม่สงบจะดีขึ้น แต่เป็นการดำเนินยุทธศาสตร์ของขบวนการต่างหากที่ดีขึ้น

                รู้ๆ กันอยู่อย่างนี้แล้วใครจะยอมถอนทหารเพื่อให้ประชาชนเดือดร้อน

          ทั้งหมดนั้นคงช่วยให้มองเห็นได้ว่า เหตุผลไร้สติของขบวนการนั้นมีจุดมุ่งหมายดีเพื่อฝ่ายเดียว

          การนำเสนอการให้สัมภาษณ์ผู้อ้างตัวว่าเป็นนักรบโดย “กรุงเทพธุรกิจ” โดยให้เหตุผลว่าไม่มีเจตนาเผยแพร่ข้อมูลของฝ่ายที่ประกาศจุดยืนต่อต้านรัฐ แต่มีเจตนาเปิดพื้นที่สร้างความเข้าใจเพื่อสถาปนาสันติสุขที่ปลายด้ามขวานนั้น ผู้เขียนในฐานะเป็นสื่ออีกแขนงหนึ่ง ยังมองไม่เห็นว่าการนำเสนอข้อมูลภายใต้จรรยาบรรณสื่อมวลชนโดยขาดการวิเคราะห์ถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น จะเป็นผลดีต่อการสร้างความเข้าใจได้อย่างไร

          แต่หากยังยืนยันว่าเป็นการสร้างความเข้าใจ ก็น่าจะเป็นการสร้างความเข้าใจผิด โดยการเผยแพร่ข้อมูลที่ไม่เป็นผลดีต่อการสถาปนาสันติสุขที่ปลายด้ามขวานซะมากกว่า  เพราะนี่ควรเป็นสาระที่ผู้แทนของทั้งสองฝ่ายต้องไปถกแถลงกันในโต๊ะพูดคุยสันติภาพ การนำเสนอในลักษณะดาบสองคมนี้ระวังจะกลายเป็นแนวร่วมของฝ่ายขบวนการโดยไม่รู้ตัว

          หรือว่ารู้....แต่จะทำ..ใครจะทำไม


 ซอเก๊าะ  นิรนาม