เมื่อปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ร่วมกับ สถาบันอิศรา มูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย จัดเวทีเสวนาเรื่อง “หนึ่งทศวรรษปัญหาใต้ ในมุมมองของ ดร.วันกาเดร์ เจ๊ะมัน และ ดร.จรัญ มะลูลีม” โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการปรากฏตัวของ ดร.วันกาเดร์ เจ๊ะมัน อดีตผู้นำกลุ่มเบอร์ซาตู ได้ออกมากล่าวการลดบทบาทของกลุ่มของตนเนื่องจากมีความขัดแย้งภายใน และยังได้กล่าวว่า แม้กระทั่ง BRN ก็มีปัญหาเช่นเดียวกันได้เกิดความขัดแย้ง เนื่องจากไม่ได้มีกลุ่มเดียวภายในกลุ่ม ต่างแย่งชิงองค์กรนำในการสั่งการเคลื่อนไหวในพื้นที่
คำกล่าวของ ดร.วันกาเดร์ เจ๊ะมัน สอดรับกับการเคลื่อนไหวล่าสุดของ นายฮัสซัน ตอยิบ ที่พยายามดิ้นทุกวิถีทางด้วยการออกมาแถลงจุดยืนผ่านสื่อ Youtube เล่นเกมส์นอกโต๊ะเจรจา ซึ่งไม่ได้เป็นเรื่องใหม่สำหรับการกระทำของนายฮัสซันฯ ที่แสดงบทพระเอกนำ ในส่วนของฝ่ายคิดต่างจากรัฐมาโดยตลอด แต่ที่น่าสนใจอย่างยิ่งคือคณะที่เข้าร่วมพูดคุยมาจากหลากหลายกลุ่มมากขึ้น ที่ให้การตอบรับในการเข้าร่วมในกระบวนการพูดคุยสันติภาพ โดยมีประเทศมาเลเซียเป็นผู้อำนวยความสะดวกในการพูดคุยสันติภาพ ในครั้งต่อไปผู้ที่เข้าร่วมในคณะ จะมีตัวแทนจากทุกกลุ่ม ที่มีการเคลื่อนไหวสร้างความปั่นป่วนเป็นเสมือนหอกข้างแคร่ของประเทศไทยมาโดยตลอดระยะเวลา 10 ปี ของปัญหาไฟใต้ ต้องคอยจับตาดูความเคลื่อนไหวในพื้นที่จะมีการก่อเหตุเหมือนที่แล้วมาหรือไม่ในเมื่อประเทศไทยได้เชิญให้เข้าร่วมในเวทีการพูดคุยทุกกลุ่ม
ในเวทีเสวนา“หนึ่งทศวรรษปัญหาใต้ ในมุมมองของ ดร.วันกาเดร์ เจ๊ะมัน และ ดร.จรัญ มะลูลีม” ดร.วันกาเดร์ เจ๊ะมัน ได้กล่าวไว้เป็นที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง “การแก้ปัญหาด้วยการแบ่งแยกดินแดนเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว ต้องอาศัยสันติวิธี ยึดการเจรจาเป็นหลัก” อดีตผู้นำเบอร์ซาตูท่านนี้มีความกล้าหาญชาญชัย กับการออกมากล่าวสาเหตุกลุ่มเบอร์ซาตูของตนเองที่ลดบทบาทลง เป็นเพราะมีการแตกแยกภายในกลุ่มย่อย การคลางแคลงใจกันเองภายในองค์กร ไม่ไว้ใจซึ่งกันและกัน และไม่เชื่อว่าการต่อสู้ที่ได้กระทำอยู่ทุกวันนี้จะได้ขึ้นสวรรค์ไปพบพระเจ้า ที่สำคัญการรับคำสั่งให้ปฏิบัติการทางทหารกับคนที่ไม่รู้จักและไม่เคยเห็นหน้า เหมือนกับการหลอกใช้งาน
ดร.วันกาเดร์ ยังได้กล่าวอีกว่า ณ เวลานี้ยังไม่มีใครสามารถบอกได้ว่ากลุ่มใดที่มีบทบาทอย่างแท้จริงในการก่อเหตุในปัจจุบัน ซึ่งในมุมมองของผู้เขียนเองเชื่อว่าน่าจะมีมูลความจริงดั่งสมมติฐานของการแย่งชิงองค์กรนำในการเคลื่อนไหว และการสร้างผลงานในการก่อเหตุเพียงเพื่อต้องการตอบโต้ แสดงศักยภาพให้ประเทศไทยได้เห็นความสำคัญกลุ่มของตน ในเมื่อครั้งนี้ประเทศไทยได้ให้ความสำคัญกับทุกกลุ่ม หากยังมีการก่อเหตุอยู่การพูดคุยก็ไม่เป็นผล คุยไปก่อเหตุไปแล้วจะมานั่งพูดคุยกันทำไมให้เมื่อยปาก อย่าลืมว่าประชาชนในพื้นที่ตั้งความหวังไว้สูง รอคอยสันติภาพเพื่อจะได้กลับมาใช้ชีวิตอย่างสันติสุขเยี่ยงประชาชนส่วนอื่นของประเทศ...
ตนไทยปลายด้ามขวาน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น